บทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสวันที่ 25 มกราคม 2021 การทำวัตรเย็นครั้งที่สอง

สัปดาห์การอธิษฐานเพื่อความเป็นเอกภาพของคริสตชนปีที่ 54 ณ มหาวิหารนักบุญเปาโล นอกกำแพงกรุงโรม

“จงดำรงอยู่ในความรักของเรา” (ยน. 15: 9) พระเยซูคริสต์ทรงเชื่อมสัมพันธ์ในการขอร้องนี้กับภาพของต้นองุ่นและกิ่งก้าน ซึ่งพระองค์ทรงเสนอให้พวกเราในพระวรสาร  พระเยซูคริสต์เองทรงเป็นต้นองุ่นที่ “แท้จริง” (ข้อ 1) ผู้ซึ่งจะไม่ทรยศต่อความหวังของพวกเรา ทว่าทรงซื่อสัตย์ในความรักต่อพวกเราเสมอ แม้ว่าพวกเราจะมีบาปและแตกแยกกัน พวกเราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปล้วนเป็นกิ่งก้านที่ติดกับลำต้นองุ่นนี้ นี่หมายความว่าพวกเราสามารถเจริญเติบโตเกิดดอกออกผลได้ก็ต่อเมื่อพวกเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เย็นวันนี้ (25 มกราคม) ขอให้พวกเราไตร่ตรองความเป็นเอกภาพอันเป็นเงื่อนไขจำเป็นนี้สักหน่อย ซึ่งมีหลายระดับด้วยกัน เมื่อพูดถึงต้นองุ่นพวกเราอาจจินตนาการในความเป็นเอกภาพลักษณะสามห่วงที่คล้องติดกันเฉกเช่นลำต้นองุ่น

ห่วงแรกที่อยู่ตรงกลางคือการดำรงอยู่ในพระเยซูคริสต์ นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งการก้าวเดินของแต่ละคนสู่ความเป็นเอกภาพ  ในโลกของพวกเราทุกวันนี้ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและสลับซับซ้อน ซึ่งเป็นการง่ายที่พวกเราจะหลงทางเพราะว่าพวกเราจะถูกดึงดูดจากทุกทิศทุกทาง หลายคนรู้สึกภายในว่าตนเองล้มเหลวไม่สามารถหาจุดยืนอย่างมั่นคงท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของชีวิต พระเยซูคริสต์ตรัสกับพวกเราว่าความลับของจุดยืนที่มั่นคงคือการดำรงอยู่ในพระองค์ ในบทอ่านของค่ำคืนนี้พระองค์ตรัสเรื่องนี้ถึง 7 ครั้ง (เทียบ ข้อ 4-7; 9-10)  เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่า “หากปราศจากพระองค์ พวกเราไม่สามารถที่จะทำสิ่งใดได้เลย” (เทียบ ข้อ 5) พระเยซูคริสต์ยังตรัสกับพวกเราด้วยว่าจะดำรงอยู่ในพระองค์ได้อย่างไร พระองค์ทรงให้แบบฉบับแก่พวกเรา ในแต่ละวันพระองค์ทรงปลีกตัวไปอธิษฐานภาวนาในที่เงียบสงบ พวกเราจำเป็นต้องสวดภาวนาเฉกเช่นที่พวกเราต้องการน้ำดื่มเพื่อที่จะรักษาชีวิตไว้ การภาวนาส่วนตัวโดยใช้เวลาอยู่กับพระเยซูคริสต์เพื่อนมัสการพระองค์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นหากพวกเราปรารถนาที่จะดำรงอยู่ในพระองค์  โดยอาศัยการกระทำเช่นนี้พวกเราสามารถมอบความกังวล ความหวัง ความหวาดกลัว ความชื่นชมยินดี และความเศร้าโศกเสียใจไว้กับดวงหทัยของพระเยซูคริสต์ ที่สำคัญที่สุดก็คือการนำพระเยซูคริสต์มาเป็นศูนย์กลางแห่งการอธิษฐานภาวนา พวกเราจะมีประสบการณ์ที่สัมผัสได้กับความรักของพระองค์ และโดยอาศัยวิธีนี้พวกเราจะมีชีวิตชีวาขึ้นใหม่ดุจกิ่งก้านเถาองุ่นที่ดูดน้ำเลี้ยงจากลำต้น นี่เป็นเอกภาพแรกซึ่งเป็นความบริบูรณ์ส่วนตัว และเป็นผลแห่งพระหรรษทานที่พวกเราได้รับโดยการดำรงอยู่ในพระเยซูคริสต์

ห่วงที่สองคือความเป็นเอกภาพกับบรรดาพี่น้องคริสตชน พวกเราเป็นกิ่งก้านของต้นองุ่นเดียวกัน พวกเราอยู่ “ในเรือลำเดียวกัน” ในความหมายที่ว่าความดีและความชั่วที่พวกเราแต่ละคนทำนั้นมีผลต่อผู้อื่นด้วย ดังนั้นในชีวิตฝ่ายจิตยังมีสิ่งที่เรียกว่า “กฎแห่งพลวัต” ถึงขนาดที่ว่าหากพวกเราดำรงอยู่ในพระเจ้า พวกเราก็เข้าใกล้ผู้อื่นมากขึ้นและเมื่อพวกเราเข้าใกล้ผู้อื่นมากขึ้นพวกเราก็ดำรงอยู่ในพระเจ้ามากขึ้นเช่นเดียวกัน นี่หมายความว่าพวกเราอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณในความจริง และพวกเราก็จะรับรู้ว่าพวกเราจำเป็นต้องรักผู้อื่นด้วย และในอีกมุมมองหนึ่งคือ “หากพวกเรารักกันและกันพระเจ้าก็จะดำรงอยู่ในพวกเรา” (1 ยน. 4: 12) การภาวนาจะนำไปสู่ความรักอย่างแน่นอน มิฉะนั้นแล้วจะเป็นกิจปฏิบัติที่ว่างเปล่า เพราะนั่นเป็นไปไม่ได้ที่จะพบปะกับพระเยซูคริสต์โดยแยกจากพระวรกายของพระองค์ที่ประกอบด้วยอวัยวะหลากหลาย มากมายเท่ากับจำนวนผู้ที่ได้รับศีลล้างบาป หากการนมัสการของพวกเราเป็นของแท้ พวกเราจะเจริญเติบโตขึ้นในความรักสำหรับทุกคนที่ติดตามพระเยซูคริสต์ไม่ว่าผู้นั้นจะสังกัดอยู่ในนิกายใด เพราะแม้พวกเขาอาจจะไม่ใช่ “หนึ่งในพวกเรา” แต่พวกเขาก็เป็นศิษย์ของพระองค์

แม้จะเป็นเช่นนั้นพวกเราทราบดีว่าการรักพี่น้องของพวกเราไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะทุกคนต่างก็มีข้อตกบกพร่อง ความเจ็บที่พวกเราได้รับจากบุคคลที่กระทำผิดพลาดในอดีตยังฝังอยู่ในใจ ณ จุดนี้พระบิดาทรงช่วยพวกเราได้ ในฐานะที่ทรงเป็นกสิกรของไร่องุ่นผู้เชี่ยวชาญ (เทียบ ยน. 15: 1) พระองค์ทราบดีว่าต้องทำอย่างไร “ทุกกิ่งก้านที่ไม่เกิดผลพระองค์จะตัดทิ้ง แล้วพระองค์จะพรวนดินเพื่อที่จะให้เกิดผลเพิ่มขึ้น” (ยน. 15: 2) พระบิดาจะทรงตัดตกแต่งกิ่งก้านแล้วพรวนดิน เพราะอะไรหรือ? เพื่อที่จะรักพวกเราจำเป็นที่ต้องตกแต่งกิ่งก้านและทุกสิ่งที่ทำให้พวกเราหลงทาง ซึ่งทำให้พวกเรามองแต่ตนเอง ซึ่งจะไม่บังเกิดผล ดังนั้นขอให้พวกเราวอนพระบิดาได้โปรดพรวนความลำเอียงของพวกเราที่มีต่ออคติผู้อื่น และการยึดติดกับสิ่งของที่เป็นโลกีย์วิสัยที่เป็นอุปสรรคต่อความเป็นเอกภาพที่สมบูรณ์กับบุตรธิดาทุกคนของพระองค์ เมื่อได้ชำระตนบริสุทธิ์ในความรักแล้วพวกเราจะไม่สนใจกับอุปสรรคขัดขวางต่างๆ แห่งอดีตซึ่งทุกวันนี้ทำให้พวกเราไขว้เขวออกไปจากพระวรสาร

ห่วงที่สามแห่งเอกภาพ ซึ่งเป็นห่วงที่ใหญ่ที่สุดคือมนุษยชาติทุกคน ณ จุดนี้พวกเราอาจไตร่ตรองถึงการทำงานของพระจิต ในลำต้นองุ่นซึ่งได้แก่พระเยซูคริสต์ พระจิตคือนำเลี้ยงที่ซึมไปทั่วกิ่งก้าน พระจิตทรงผลักดันในที่ที่ทรงพอพระทัย และทุกแห่งที่พระองค์ทรงต้องการฟื้นฟูเอกภาพ พระองค์ทรงผลักดันให้พวกเรารักไม่เพียงแต่ผู้ที่รักเราหรือคิดเหมือนตัวเราเท่านั้น แต่ให้รักทุกคนเฉกเช่นที่พระเยซูคริสต์ทรงสอน พระองค์โปรดให้พวกเราสามารถให้อภัยศัตรู และผู้ที่ทำให้พวกเราเป็นทุกข์ พระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้มีความเข้มแข็งและมีความคิดริเริ่มในความรัก พระองค์เตือนพวกเราว่าเพื่อนบ้านของพวกเราไม่เพียงแต่จะเป็นคนที่ร่วมงานกับเราในคุณค่าและความคิดเท่านั้น แต่พวกเราถูกเรียกให้เป็นเพื่อนบ้านกับทุกคน เป็นกัลยาณมิตรกับทุกคน เป็นชาวสะมาเรียผู้ใจดีต่อเพื่อนมนุษย์ที่อ่อนแอที่ยากจน และหลายบุคคลในยุคของพวกเราต้องทนทุกข์ทรมานมากมายรวมถึงมนุษยชาติที่นอนอยู่ข้างถนน ซึ่งพระเจ้าต้องการที่จะอุ้มชูด้วยความเมตตา ขอพระจิตบ่อเกิดแห่งพระหรรษทานได้โปรดช่วยให้พวกเราเจริญชีวิตด้วยการให้แบบเปล่า ๆ ที่จะรักแม้คนที่ไม่รักเราเป็นการตอบแทน เพราะอาศัยการรักที่บริสุทธิ์และไม่หวังประโยชน์เท่านั้นที่พระวรสารจะบังเกิดผล พวกเราจะรู้จักต้นไม้ก็ด้วยผลของมัน โดยอาศัยความรักที่ให้แบบเปล่า ๆ ของพวกเราจะเป็นที่ทราบกันอย่างดีถ้าหากพวกเราเป็นส่วนหนึ่งแห่งลำต้นองุ่นของพระเยซูคริสต์

พระจิตจึงสอนพวกเราถึงความรักที่เป็นรูปธรรมสำหรับพี่น้องชายหญิงทุกคนที่พวกเรามีส่วนร่วมในความเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ที่พระเยซูคริสต์ทรงนำมาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์โดยตรัสกับพวกเราว่า  พวกเราจะพบกับพระองค์ได้เสมอในคนยากจนและผู้ที่เดือดร้อนมากที่สุด (เทียบ มธ. 25: 31-45) โดยอาศัยการบริการรับใช้พวกเขาด้วยกัน พวกเราจะรับรู้อีกครั้งหนึ่งว่าพวกเราล้วนเป็นพี่น้องกัน และจะเจริญเติบโตขึ้นในความเป็นเอกภาพ พระจิตผู้ทรงฟื้นฟูโลกยังทรงเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราต้องเอาใจใส่ดูแลบ้านส่วนรวมของพวกเราคือผืนแผ่นดินโลก ขอให้พวกเราเลือกด้วยความกล้าหาญ ขอให้ไตร่ตรองพวกเราเจริญชีวิตและบริโภคกันอย่างไร เพราะสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับการบังเกิดผลคือการเอารัดเอาเปรียบ และเป็นเรื่องน่าอายสำหรับพวกเราที่ทำลายทรัพยากรอันมีค่าซึ่งหลายคนไม่มี

พระจิตพระองค์เดียวกันซึ่งเป็นสถาปนิกแห่งการเดินทางเพื่อความเป็นเอกภาพในเย็นนี้ได้นำพวกเราให้มาอธิษฐานภาวนาพร้อมกัน พวกเรามีประสบการณ์ว่าเอกภาพนั้นจะมาจากพระเจ้าด้วยการนมัสการพระองค์เป็นเสียงเดียวกัน ข้าพเจ้าประสงค์ที่จะขอบใจที่ทุกคนในสัปดาห์นี้ได้อธิษฐานภาวนาและยังคงจะอธิษฐานกันต่อไปเพื่อความเป็นเอกภาพของบรรดาคริสตชน ขอต้อนรับผู้แทนและชุมชนจากทุกนิกายที่มาร่วมใจกันครั้งนี้ กับเยาวชนออร์ธอด็อกซ์ และชาวออร์ธอด็อกซ์จารีตตะวันออก ซึ่งมาศึกษาที่กรุงโรมภายใต้การประสานงานของสมณสภาพเพื่อส่งเสริมความเป็นเอกภาพของบรรดาคริสตชน กับคณาจารย์และนักศึกษาจากสถาบันเพื่อคริสตศาสนสัมพันธ์แห่งบอสเซ่ สวิสเซอร์แลนด์ (Ecumenical Institute of Bossey, Switzerland) ซึ่งเคยมาที่กรุงโรมในปีก่อนๆ แต่ปีนี้ไม่สามารถมาเพราะโรคระบาด จึงต้องติดตามทางสื่อ  พี่น้องชายหญิงที่รัก ขอให้พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ขอพระจิตได้โปรดหลั่งพระหรรษทานลงในจิตใจของพวกเราและทำให้เรารู้สึกว่าพวกเราเป็นบุตรธิดาของพระบิดา พวกเราเป็นพี่น้องกัน เป็นพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน ขอพระตรีเอกภาพซึ่งเป็นหนึ่งเดียวกันในความรักได้โปรดประทานให้พวกเราพัฒนาขึ้นในความเป็นเอกภาพด้วยเทอญ

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรันซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)