วันพฤหัสบดี, 7 พฤศจิกายน 2567
  

การเข้าเฝ้าทั่วไป (General Audience) วันที่ 3 มีนาคม 2021 ณ ห้องสมุดวาติกัน

คำสอนเรื่องการสวดภาวนา – 25: การสวดภาวนาและพระตรีเอกภาพ (1)

อรุณสวัสดิ์ ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย

        ในการเรียนคำสอนของพวกเราเกี่ยวกับการสวดภาวนาในวันนี้ และตลอดสัปดาห์หน้า พวกเราต้องขอบคุณพระเยซูคริสต์ที่ทำให้พวกเราเห็นว่า การสวดภาวนานั้นจะเปิดโอกาสให้พวกเราเข้าถึงพระตรีเอกภาพ พระบิดา พระบุตร และพระจิต ซึ่งจะทำให้พวกเราเห็นถึงความรักยิ่งใหญ่ปานมหาสมุทรของพระเจ้า เป็นพระเยซูคริสต์เองที่ทรงเปิดประตูสวรรค์ให้กับพวกเรา และทรงมีโครงการที่จะให้พวกเรามีความสัมพันธ์กันกับพระเจ้า เป็นพระองค์เองที่ทรงกระทำสิ่งนี้ พระองค์ทรงเปิดความสัมพันธ์ของพวกเรากับพระตรีเอกภาพ พระบิดา พระบุตร และพระจิต นี่เป็นสิ่งที่อัครสาวกจอห์นยืนยันในตอนท้ายของพระวรสาร “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระบุตรเพียงพระองค์เดียวผู้สถิตอยู่ในพระอุระของพระบิดานั้นได้ทรงเปิดเผยให้พวกเรารู้” (ยน. 1: 18) พระเยซูคริสต์ทรงเปิดเผยอัตลักษณ์ของพระเจ้า พระบิดา พระบุตร และพระจิตให้พวกเราทราบ อันที่จริงแล้วพวกเราไม่ทราบว่าจะต้องสวดภาวนาอย่างไร จะต้องใช้คำพูดอย่างไร ต้องรู้สึกอย่างไร และภาษาอะไรซึ่งเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า ในการขอร้องของบรรดาศิษย์ต่อพระอาจารย์ ซึ่งพวกเราได้ยินกันบ่อยๆ จะมีความเข้าใจผิดของมนุษย์กันอยู่เสมอ แม้จะพยายามสักเท่าใดก็ตาม แต่ก็ไม่ค่อยจะสำเร็จบ่อยนักเพื่อที่จะภาวนาต่อพระผู้สร้าง “ข้าแต่พระอาจารย์ โปรดสอนให้เรารู้จักสวดภาวนา” (ลก. 11: 1)

        การอธิษฐานภาวนาทุกชนิดจะไม่เท่าเทียมกัน และการภาวนาใช่ว่าจะต้องได้รับผลตามต้องการเสมอไปก็หาไม่ พระคัมภีร์เองก็ยืนยันว่าผลแห่งการอธิษฐานภาวนาหลายชนิดถูกปฏิเสธ บางทีบางครั้งพระเจ้าก็ทรงไม่พอพระทัยในการภาวนาของพวกเราและพวกเราก็ไม่รับรู้ในประเด็นนี้ พระเจ้าทอดพระเนตรไปยังมือของผู้ที่สวดภาวนาเพื่อที่จะทำให้เขาบริสุทธิ์ หากจำเป็นที่ต้องชำระล้างเขาเสียก่อนโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเราต้องเลิกกระทำความชั่ว เลิกทำบาป นักบุญฟรันซิสภาวนาว่า “Nullu homo ene dignu te mentovare” กล่าวคือ “ไม่มีผู้ใดคู่ควรที่จะเอ่ยถึงพระนามของพระองค์” (Canticle of the Sun)

        ทว่าบางกรณี ในการยอมรับอันน่าทึ่งที่สุดแห่งความยากจนของการสวดภาวนามาจากปากของนายร้อยโรมันคนนั้น ซึ่งวันหนึ่งได้ขอร้องพระเยซูคริสต์ให้ช่วยรักษาคนรับใช้ของตน (เทียบ มธ. 8: 5-13) เขารู้สึกว่าตนนั้นไม่คู่ควรเลย เขาไม่ใช่ชาวยิว เขาเป็นนายทหารที่ผู้คนเกลียดชังเพราะไปยึดครองแผ่นดินของผู้อื่น แต่การห่วงใยคนรับใช้ของตนทำให้เขาเกิดความกล้าหาญ เขากล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอพระองค์ตรัสแต่เพียงคำเดียวเท่านั้น ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค” (ข้อ 8) นี่เป็นประโยคที่พวกเรานำมากล่าวซ้ำในพิธีศีลมหาสนิท  การเสวนากับพระเจ้าเป็นพระหรรษทาน ซึ่งพวกเราไม่คู่ควร  พวกเราไม่มีสิทธิที่จะแอบอ้าง ปากของพวกเราได้แต่กล่าวซ้ำในสิ่งที่ผู้อื่นพูดและคิด… ทว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นประตูที่เปิดให้พวกเรามีการเสวนากับพระเจ้า

        เหตุใดมนุษย์จึงควรได้รับความรักจากพระเจ้า? ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน ไม่มีสัดส่วนที่จะเอามาเปรียบเทียบ… แม้แต่ตำราและตำนานส่วนใหญ่ก็ไม่ได้พิจารณากันถึงความเป็นไปได้ของพระเจ้าที่สนพระทัยเกี่ยวกับเรื่องราวของมนุษย์ ตรงกันข้ามจะถูกถือว่านั่นเป็นเรื่องกวนใจ และน่าเบื่อหน่าย จึงไม่ให้ความสนใจใจใดๆ ขอให้พวกเราจดจำพระวาจาของพระเจ้าที่ตรัสกับมนุษย์ ที่พระองค์กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกในหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ “มีชนชาติใดบ้างที่พระเจ้าประทับอยู่อย่างใกล้ชิดดุจพระเจ้าของเราที่ทรงสถิตใกล้ชิดกับเรา?” ความใกล้ชิดของพระเจ้ากับพวกเรานี้เป็นการเผยแสดง นักปรัชญาบางคนกล่าวว่าพระเจ้าสามารถดำริได้ในพระองค์เอง ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นพวกเรามนุษย์นี่แหละที่พยายามจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเองในพระเจ้า แล้วปฏิบัติตนให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์  ดังนั้นหน้าที่ของ “ศาสนา” จึงมีมิติการบูชาและศรัทธาต่างๆต่อเทพเจ้า เพื่อทำให้เป็นที่พอใจกับเทพเจ้าที่ปิดปากเงียบและไม่สนใจใยดี จึงไม่เกิดการเสวนากัน มีแต่เพียงพระเยซูคริสต์เท่านั้น มีแต่การเผยแสดงของพระเจ้าต่อโมเสสก่อนการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เมื่อพระเจ้าทรงเผยแสดงพระองค์ มีแต่พระคัมภีร์เท่านั้นที่เปิดประตูให้พวกเราเข้าสู่การเสวนากับพระเจ้า ขอให้จำไว้ว่า “มีชนชาติยิ่งใหญ่ใดบ้างที่พระเจ้าทรงประทับอยู่อย่างใกล้ชิดเฉกเช่นพระเจ้าของเรา?” นี่เป็นความใกล้ชิดของพระเจ้าที่ทำให้พวกเราสามารถเสวนากับพระเจ้าได้

        พระเจ้าผู้ทรงรักมนุษยชาติ พวกเราคงไม่กล้าที่จะเชื่อในพระองค์ถ้าพวกเราไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ การรู้จักพระเยซูคริสต์ทำให้พวกเราเข้าใจสิ่งนี้ ทำให้สิ่งนี้ถูกเปิดเผยให้พวกเรารับรู้รับทราบ อาจเป็นที่สะดุดใจที่พวกเราพบในนิทานเปรียบเทียบเรื่องบิดาผู้ใจเมตตาต่อบุตรผู้ล้างผลาญ หรือในเรื่องผู้เลี้ยงแกะที่ดีที่ออกเดินตามหาแกะที่หายไป (เทียบ ลก. 15) พวกเราคงไม่สามารถที่จะเข้าใจหรือแม้ที่จะจินตนาการถึงเรื่องราวเหล่านี้ หากพวกเราไม่ได้รู้จักพระเยซูคริสต์ มีพระเจ้าพระองค์ใดที่พร้อมจะสละชีพเพื่อประชากรของพระองค์? มีพระเจ้าอื่นใดบ้าง?  มีพระเจ้าพระองค์ใดที่รักด้วยความอดทนอย่างสม่ำเสมอโดยไม่มีการเรียกร้องให้พวกเราต้องรักตอบ? มีพระเจ้าองค์ใดที่ยอมรับความอกตัญญูของบุตรที่เข้ามาขอมรดกล่วงหน้า แล้วจากบ้านไปผลาญเงินทองจนหมดเนื้อหมดตัว? (เทียบ ลก. 15: 12-13)

        นี่เป็นพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเผยให้พวกเราเห็นดวงพระทัยของพระเจ้า  พระองค์ทรงบอกเล่าให้พวกเราทราบด้วยชีวิตของพระองค์จนกระทั่งทำให้พวกเราเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นบิดา “Tam Pater nemo” คือ “ไม่มีผู้ใดเป็นบิดาเฉกเช่นพระองค์” การเป็นบิดาคือการอยู่อย่างใกล้ชิด มีความเมตตาเอ็นดูสงสาร นี่เป็นวิธีที่พระองค์ทรงแสดงความเป็นบิดาต่อพวกเรา อย่าลืมสามคำที่เป็นรูปแบบของพระเจ้า กล่าวคือ ใกล้ชิด เมตตา และอ่อนโยน นี่เป็นวิธีที่พระองค์แสดงความรักต่อพวกเรา เป็นการยากที่พวกเราจะจินตนาการจากที่ไกลจากความรักที่พระตรีเอกภาพผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยความรักที่มีอยู่ระหว่างพระบิดา พระบุตร และพระจิต รูปภาพวาด “ไอคอน” จารีตตะวันออกแสดงให้พวกเราเห็นอย่างรำไรถึงพระธรรมล้ำลึกนี้ ซึ่งเป็นบ่อเกิดและเป็นความชื่นชมยินดีแห่งสากลโลก

        สิ่งที่สำคัญก็คือธรรมล้ำลึกนี้อยู่เหนือความสามารถของพวกเราที่จะเชื่อว่าความรักของพระเจ้าจะขยายแผ่ออกไปและมาถึงมนุษย์ทั้งมวล พวกเราเป็นผู้ที่ได้รับความรักดังกล่าวที่ไม่มีสิ่งใดอื่นเท่าเทียมในโลกนี้ คำสอนของพระศาสนจักรอธิบายว่า “ความเป็นมนุษย์ศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ จึงเป็นหนทางที่พระจิตผู้ทรงสอนพวกเราให้สวดต่อพระเจ้าผู้ทรงเป็นบิดาของพวกเรา” (ข้อ 2664) และนี่เป็นพระหรรษทานแห่งความเชื่อของพวกเรา  อันที่จริงพวกเราไม่อาจคาดหวังถึงกระแสเรียกที่สูงกว่า ความเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ – พระเจ้าผู้ทรงเสด็จมาอยู่ใกล้ชิดกับพวกเราในองค์พระเยซูคริสต์ – ทำให้พวกเราเข้าถึงชีวิตของพระตรีเอกภาพได้ และเปิดประตูแห่งพระธรรมล้ำลึกแห่งความรักออกกว้างแห่งพระบิดา พระบุตร และพระจิต

พระสันตะปาปาทรงต้อนรับผู้จาริกแสวงบุญ

ขอต้อนรับประชาสัตบุรุษที่พูดภาษาอังกฤษ ขอให้การเดินทางของพวกเราในเทศกาลมหาพรตนี้นำพวกเราไปสู่ความชื่นชมยินดีแห่งปัสกาด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งได้รับการฟื้นฟูโดยพระหรรษทานแห่งพระจิต พ่อขอส่งสันติสุขและความปรารถนาดีแห่งพระเยซูคริสต์มายังท่าน และครอบครัวของท่าน ขอพระเจ้าอวยพรทุกคน


การอุทธรณ์ของพระสันตะปาปา

        พ่อได้ยินข่าวร้ายมาถึงหู ดังที่พวกเราทราบ นั่นคือได้มีการปะทะกันและมีการสูญเสียชีวิตในประเทศเมียนมาร์ พ่อประสงค์ที่จะเตือนเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องถึงความจริงว่าการเจรจาและเสวนาเพื่อหาทางความสมานฉันต้องมาก่อนการกดขี่ปราบปราม พ่อขออุทธรณ์ไปยังนานาชาติให้ช่วยกันสร้างหลักประกันว่าความต้องการแห่งประชาชนชาวเมียนมาร์ต้องไม่ถูกระงับด้วยการใช้ความรุนแรง ขอให้เยาวชนผู้รักแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน จงมีความหวังในอนาคต อันความเกลียดชังและความอยุติธรรมจะเป็นอุปสรรคในการพบปะเพื่อการคืนดีกัน สุดท้ายพ่อใคร่ที่จะย้ำความปรารถนาของพ่อที่ได้กล่าวไปเมื่อเดือนที่แล้วว่า หนทางสู่ประชาธิปไตยในประเทศเมียนมาร์ปฏิบัติกันในหลายปีที่ผ่านมานี้จะกลับคืนมาโดยอาศัยท่าทีที่เป็นรูปธรรมด้วยการปล่อยตัวผู้นำการเมืองที่ถูกจองจำ (ดูคำปราศรัยต่อคณะทูตานุทูต วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2021)

* * *

        หากพระเจ้าทรงโปรด วันมะรืนนี้ (5 มีนาคม) พ่อจะไปเยือนประเทศอิรักสามวันเพื่อจาริกแสวงบุญ พ่อปรารถนาไปเยี่ยมประชาชนเหล่านั้นที่กำลังทนทุกข์มายาวนานหลายปีมาแล้ว เพื่อที่จะไปพบกับพระศาสนจักรที่เป็นมรณะสักขีในดินแดนแห่งบิดาแห่งความเชื่ออับราฮัม พร้อมกับผู้นำศาสนาอื่น ๆ พวกเราจะก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งสู่ความเป็นพี่น้องกันในระหว่างผู้ที่มีความเชื่อ ขอให้ท่านติดตามพวกเราไปในการเดินทางครั้งนี้ด้วยคำภาวน าเพื่อการเดินทางครั้งนี้จะผ่านไปด้วยดีและบังเกิดผลที่พวกเราคาดหวัง ประชาชนชาวอิรักกำลังรอคอยพวกเราอยู่ พวกเขาเคยรอคอยนักบุญยอห์นปอลที่ 2 ซึ่งพระองค์ไม่ได้รับอนุญาตให้เสด็จไปที่นั่น พ่อเองไม่อาจทำให้ประชาชนต้องผิดหวังเป็นครั้งที่สอง ขอให้พวกเราช่วยกันอธิษฐานภาวนาเพื่อที่การเดินทางครั้งนี้จะได้ประสบกับความสำเร็จ


สรุปคำปราศรัยของพระสันตะปาปา

        ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รักทั้งหลาย ในการเรียนคำสอนของพวกเราต่อไปเกี่ยวกับการสวดภาวนา บัดนี้เรามาพิจารณากันว่าการสวดภาวนาของพวกเรานำพวกเราก้าวไปสู่ชีวิตของพระตรีเอกภาพ สู่พระธรรมล้ำลึกนิรันดร์แห่งความรักของพระเจ้า ซึ่งเป็นบ่อเกิดและความชื่นชมยินดีแห่งสากลโลกอย่างไร พระเยซูคริสต์ทรงเผยเส้นทางนี้ให้พวกเราทราบด้วยการเสด็จมารับสภาพมนุษย์ และทรงเผยให้พวกเราเห็นถึงความรักอันหาที่สุดมิได้ของพระบิดา โดยอาศัยพระธรรมล้ำลึกแห่งปัสกาพระองค์ทรงเปิดประตูสวรรค์ให้กับพวกเราและอาศัยของขวัญแห่งพระจิต ผู้ทรงประทานให้พวกเรามีส่วนร่วมในความสัมพันธ์เยี่ยงบุตรกับพระบิดา เมื่อรับรู้ถึงความไม่คู่ควรของพวกเรากับของขวัญอันยิ่งใหญ่นี้ ดุจอัครสาวกพวกเราสามารถร้องออกมาว่า “ข้าแต่พระอาจารย์ โปรดสอนพวกเราให้รู้จักสวดภาวนา” (ลก. 11: 1) พระเยซูคริสต์ทรงสอนเราไม่ใช่แต่เพียงการใช้คำพูดในการสวดภาวนาเท่านั้น แต่ทรงสอนให้พวกเราทราบถึงพระเมตตาอันหาขอบเขตมิได้ของพระบิดาด้วย บิดาผู้ทรงเมตตาสวมกอดบุตรที่หลงทางชีวิตและพระองค์ออกตามหาลูกแกะที่หลงทาง ขอให้การสวดภาวนาปลุกจิตสำนึกของพวกเราถึงกระแสเรียกอันสูงส่งในพระเยซูคริสต์และดึงให้พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์กับพระบิดา พระบุตร และพระจิตด้วยเทอญ

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บการสอนคำสอนของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)