วันอาทิตย์แห่งการเฉลิมฉลองพระวาจานี้ ขอให้พวกเราฟังพระเยซูคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า ขอให้พวกเราพิจารณาว่าพระองค์ตรัสอะไรและตรัสกับผู้ใด
พระองค์ตรัสอะไร? พระเยซูคริสต์ทรงเริ่มการเทศนาด้วยคำพูดเหล่านี้ “เวลาที่กำหนดไว้มาถึงแล้ว พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว จงกลับใจและเชื่อข่าวดีเถิด” (มก. 1: 15) พระเจ้าอยู่ใกล้แล้ว นี่เป็นสาส์นแรก พระอาณาจักรของพระองค์ได้มาสู่ชาวโลกแล้ว ไม่ใช่อย่างที่พวกเราชอบคิดกันบ่อยๆ พระเจ้าประทับอยู่ห่างไกล อยู่ในสรวงสวรรค์ ไม่ทรงเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของมนุษย์ ไม่ใช่เช่นนั้นเลย พระองค์ทรงประทับอยู่ท่ามกลางพวกเรา การอยู่ห่างไกลนั้นสิ้นสุดลงในองค์พระเยซูคริสต์เอง พระองค์ทรงเสด็จมารับสภาพมนุษย์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาพระเจ้าก็ทรงประทับอยู่อย่างใกล้ชิดกับพวกเรา พระองค์จะไม่มีวันที่จะจากไปหรือเบื่อหน่ายกับสภาพมนุษย์ของพวกเรา ความไกล้ชิดนี้เป็นสาส์นแรกแห่งพระวรสาร บทอ่านของวันนี้บอกพวกเราว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็น “ผู้ตรัส” (ข้อ 15) คำพูดเหล่านั้น พระองค์ทรงตรัสย้ำบ่อยๆ “พระเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้” อันเป็นแรงจูงใจแห่งการเทศนา และนี่เป็นหัวใจแห่งข่าวดีของพระองค์ หากนี่เป็นการเปิดหัวเรื่องและการเทศนาซ้ำๆ ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งจะต้องเป็นจุดยืนและเป็นสาส์นสำหรับชีวิตของบรรดาคริสตชน ก่อนสิ่งใด ๆ พวกเราต้องเชื่อและประกาศว่าพระเจ้าทรงเสด็จมาประทับอยู่ใกล้พวกเรา พวกเราได้รับการอภัยพระเมตตาจากพระองค์ ก่อนที่จะเอ่ยคำใดเกี่ยวกับพระเจ้า พระวาจาของพระองค์สำหรับพวกเรา พระวจนาตถ์ยังทรงบอกพวกเราว่า “จงอย่าได้กลัว เราอยู่กับท่าน เราอยู่เคียงข้างท่าน และเราจะอยู่ที่นั่นเสมอ”
พระวาจาของพระเจ้าทำให้พวกเราสามารถสัมผัสได้กับความใกล้ชิด เพราะดังที่หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติบอกพวกเรา – พระวาจาอยู่ไม่ไกลจากเรา พระวาจาอยู่ใกล้หัวใจพวกเรา (เทียบ ฉธบ. 30: 14) พระวาจาเป็นยาต้านความกลัวของพวกเรา ที่ต้องเผชิญกับชีวิตตามลำพัง อันที่จริงโดยอาศัยพระวาจาพระองค์ทรงบรรเทาพวกเรา กล่าวคือทรงยืนอยู่ “กับ” (con-) ผู้ที่อยู่ “ตามลำพัง” (soli) ในการตรัสกับพวกเราพระองค์ทรงเตือนใจพวกเราว่า พระองค์ทรงรักพวกเราอย่างเต็ทเปี่ยมในดวงพระทัย พวกเราเป็นบุคคลประเสริฐในสายพระเนตรของพระองค์ และพระองค์ทรงทำนุพวกเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ พระวาจาของพระองค์ทำให้พวกเราเปี่ยมด้วยสันติสุข เป็นพระวาจาแห่งความบรรเทา ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้พวกเรากลับใจด้วย “จงเป็นทุกข์กลับใจ” พระเยซูคริสต์ตรัสทันทีหลังจากที่ประกาศถึงการประทับอยู่อย่างใกล้ชิดของพระเจ้า พวกเราต้องกตัญญูสำหรับการประทับอยู่อย่างใกล้ชิดนี้ เพราะว่าพวกเราไม่สามารถที่จะห่างเหินจากพระเจ้าและเพื่อนบ้านของพวกเรา ขณะที่พวกเรามัวแต่คิดถึงแต่ตนเองบัดนี้หมดเวลานั้นแล้ว การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่เป็นการกระทำของคริสตชน เพราะผู้ที่มีประสบการณ์กับความใกล้ชิดของพระเจ้าไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงต่อเพื่อนพี่น้อง หรือปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความเฉยเมย ผู้ที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าจะถูกเตือนใจเสมอว่าชีวิตไม่ใช่กีดกั้นตัวพวกเราออกจากผู้อื่น แต่จะต้องไปพบปะพวกเขาในพระนามของพระเจ้าผู้ทรงประทับอยู่ใกล้ชิดพวกเรา พระวาจาที่หว่านลงบนผืนดินแห่งดวงใจของพวกเราต้องนำให้พวกเราหว่านความหวังด้วยการอยู่ใกล้ชิดกับผู้อื่น เฉกเช่นที่พระเจ้าทรงกระทำต่อพวกเรา
บัดนี้ ขอให้พวกเราพิจารณาดูว่าพระเยซูคริสต์ตรัสกับผู้ใด พระวาจาแรกของพระองค์ตรัสกับชาวประมง ชาวกาลิเลียน ซึ่งพวกเขาเป็นชาวบ้านซื่อๆ ที่ดำเนินชีวิตด้วยการทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืน พวกเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในพระคัมภีร์ หรือเป็นคนที่มีความรู้ทั้งในวิชาการและวัฒนธรรม พวกเขาดำเนินชีวิตอยู่ในภูมิภาคที่ประกอบด้วยชนชาติพันธุ์ ชนเผ่า และวัฒนธรรมต่างๆ เป็นบุคคลจำพวกที่ไม่ค่อยจะแตกต่างจากผู้ที่เคร่งครัดในศาสนาในกรุงนครเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นหัวใจของประเทศสักเท่าไร แต่นั่นเป็นจุดที่พระเยซูคริสต์ทรงเริ่มต้นการประกาศข่าวดี ไม่ใช่จากศูนย์กลางเมือง แต่จากชายแดน และที่พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นก็เพื่อที่จะบอกพวกเราด้วยว่าไม่มีผู้ใดที่อยู่ห่างไกลจากหัวใจของพระเจ้า ทุกคนสามารถที่จะรับพระวาจาของพระองค์และพบปะกับพระองค์ด้วยตัวตนเอง พระวรสารเล่าละเอียดมากเกี่ยวกับประเด็นนี้ เพื่อสอนพวกเราว่าการเทศนาของพระเยซูคริสต์เกิดขึ้น “ภายหลัง” การประกาศของจอห์น บัปตีสต์ (เทียบ มก. 1: 14) คำว่า “ภายหลัง” เป็นคำชี้ขาด ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความแตกต่าง จอห์นต้อนรับประชาชนในทะเลทราย ซึ่งคนเหล่านั้นสามารถทิ้งบ้านเท่านั้น ที่พวกเขาสามารถเดินทางไปได้ ส่วนประเยซูคริสต์นั้นทรงตรัสถึงพระเจ้าท่ามกลางสังคม กับทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด พระองค์ไม่ได้เทศน์สอนในเวลาหรือสถานที่จำกัด แต่พระองค์ทรง “ดำเนินไปตามชายฝั่งทะเล” ไปพบชาวประมงที่ “กำลังลงอวนจับปลา” (ข้อ 16) พระองค์เทศน์สอนประชาชนในเวลาและสถานที่ใช้ชีวิตตามปกติธรรมดา ณ จุดนี้พวกเราจะเห็นถึงอำนาจสากลแห่งพระวาจาของพระเจ้า ที่สามารถเข้าถึงทุกคนและทุกบริบทของชีวิต
พระวาจาของพระเจ้ายังทรงมีอำนาจพิเศษด้วย กล่าวคือ พระวาจาสามารถสัมผัสโดยตรงกับแต่ละคน บรรดาศิษย์คงจะไม่มีวันลืมถึงพระวาจาที่พวกเขาได้ยินวันนั้นบนชายฝั่งทะเลสาบข้าง ๆ เรือในขณะที่พวกอยู่พร้อมหน้ากับสมาชิกในครอบครัว และเพื่อนร่วมงาน เป็นคำพูดที่ฝังลึกอยู่ในใจของพวกเขาตลอดไป พระเยซูคริสต์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงตามเรามา เราจะทำให้พวกท่านเป็นประมงมนุษย์” (ข้อ 17) พระองค์มิได้ตรัสกับพวกเขาโดยใช้ภาษาหรือความคิดที่สูงส่ง แต่ทรงกล่าวถึงชีวิตของพวกเขา พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่าพวกเขาจะเป็นประมงจับมนุษย์ ถ้าพระองค์บอกพวกเขาว่า “จงตามเรามา เราจะทำให้ท่านเป็นอัครสาวก ท่านจะถูกส่งไปยังโลกเพื่อประกาศพระวรสารในพระนามของพระจิต ท่านจะถูกสังหาร ที่สุดท่านจะกลายเป็นนักบุญ” พวกเราคงแน่ใจได้เลยว่าทั้งเปโตรและอันดรูว์คงจะตอบว่า “ขอบคุณนะ ทว่าเราจะอยู่กับเรือหาปลาของเราดีกว่า” พระเยซูคริสต์ตรัสกับพวกเขาตามวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของพวกเขา “ท่านเป็นชาวประมง แล้วท่านจะกลายเป็นประมงจับมนุษย์” เหมือนถูกฟ้าผ่าด้วยคำพูดเหล่านั้น พวกเขารับรู้ทันทีว่าการหย่อนอวนลงจับปลานั้นเป็นเรื่องเล็ก ในขณะที่การแล่นเรือไปในที่ลึก ในการตอบสนองต่อพระวาจาของพระเยซูคริสต์นั้นเป็นความลับแห่งความชื่นชมยินดีที่แท้จริง
พระเยซูคริสต์ทรงกระทำเช่นเดียวกันกับพวกเรา พระองค์ตามหาพวกเราตามที่ที่พวกเราเป็นอยู่ พระองค์ทรงรักพวกเราอย่างที่พวกเราเป็น และพระองค์ทรงเดินเคียงข้างพวกเราด้วยความอดทน เช่นเดียวกันกับที่พระองค์ทรงกระทำกับชาวประมงเหล่านั้น พระองค์ทรงรอคอยพวกเรา ณ ชายฝั่งแห่งชีวิตของพวกเรา ด้วยพระวาจาพระองค์ทรงต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงพวกเรา พระองค์ประสงค์ที่จะเชิญพวกเราให้ดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์กว่า เพื่อที่จะแล่นเรือไปในที่น้ำลึกด้วยกันกับพระองค์
ดังนั้น ลูก ๆ และพี่น้องชายหญิงที่รัก ขอให้พวกเราอย่าเมินเฉยต่อพระวาจาของพระเจ้า เสมือนเป็นจดหมายรักที่เขียนถึงพวกเราจากผู้ที่รู้จักพวกเราดีที่สุด ในการอ่านจดหมายนั้นพวกเราจะได้ยินเสียงของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง จะเห็นพระพักตร์ของพระองค์ และจะได้รับพระจิตของพระองค์ คำพูดนั้นทำให้พวกเราเข้าใกล้ชิดกับพระเจ้า ขอให้พวกเราอย่าทิ้งจดหมายรักนั้นไป แต่ให้เก็บไว้กับตัวเสมอในกระเป๋า ในโทรศัพท์มือถือของพวกเรา ขอให้พวกเราเก็บพระคัมภีร์ไว้ในสถานที่เหมาะสมภายในบ้าน ขอให้พวกเราเก็บพระวรสารไว้ในที่ที่พวกเราจะสามารถหยิบขึ้นมาอ่านได้โดยง่าย อาจเป็นตอนเริ่มต้นและตอนจบวันของแต่ละวัน เพื่อว่าพระวาจาเหล่านั้นจะได้ก้องกังวานอยู่ในโสตประสาทหูของพวกเรา ในแต่ละวันอาจมีพระวาจาบางคำของพระเจ้าที่สะกิดใจเรา อันเป็นแรงบันดาลใจพวกเรา เพื่อที่จะทำเช่นนี้ได้ขอให้พวกเราวอนขอพลังจากพระเยซูคริสต์ ขอร้องให้พวกเราปิดโทรทัศน์สักครู่ แล้วหันมาเปิดพระคัมภีร์ ขอร้องให้ปิดโทรศัพท์สักครู่แล้วมาเปิดพระวรสารสักนิด ในปฏิทินปีพีธีกรรมของปีนี้ ปีบี พวกเรากำลังอ่านพระวรสารบันทึกโดยนักบุญมาร์โก ซึ่งเป็นพระวรสารที่เรียบง่ายและสั้นที่สุดในบรรดาพระวรสารด้วยกัน ทำไมพวกเราไม่อ่านพระคัมภีร์ที่บ้านด้วยเล่า แม้อ่านข้อความเพียงสั้นๆ ในแต่ละวัน นี่แหละจะทำให้รู้สึกว่าพระเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้ตัวพวกเรา และจะทำให้พวกเรามีความกล้าหาญในขณะที่พวกเราเดินทางไปในชีวิตของพวกเรา
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์ของพระสันตะปาปาฟรานซิสมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)