อรุณสวัสดิ์ผู้รับฟังวิทยุ BBC ที่เคารพรัก
การเปลี่ยนสภาวะภูมิอากาศและการแพร่โรคระบาดโควิด-19 เผยให้เห็นถึงบาดแผลลึกของพวกเรา อันเป็นผลกระทบทำให้เกิดความสงสัยและมีความกังวลหลายอย่างเกี่ยวกับระบบเศรษฐกิจและวิธีบริหารจัดการกับสังคมของพวกเรา
พวกเราสูญเสียความรู้สึกปลอดภัยไป และพวกเรากำลังมีประสบการณ์กับความรู้สึกไร้ความสามารถและสูญเสียการควบคุมสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตของพวกเรา
พวกเราพบว่าตัวพวกเรายิ่งวันยิ่งจะอ่อนแอลงจนกระทั่งเกิดความหวาดกลัวเพราะ “วิกฤติ” ในเรื่องสุขภาพอนามัย ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม อาหารการกินและเศรษฐกิจโดยมิต้องพูดถึงวิกฤติด้านสังคม มนุษยธรรม และจริยธรรม วิกฤติเหล่านี้ต่างก็มีการเชื่อมสัมพันธ์กันทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้ยังทำนายได้ถึง “พายุร้าย” ที่จะมาทำลายความสัมพันธ์ของมนุษย์ และของขวัญอันประเสริฐแห่งการสร้างของพระเจ้า
วิกฤติทุกประเภทเรียกร้องให้พวกเราต้องมีวิสัยทัศน์ ต้องมีความสามารถที่จะวางแผนและปฏิบัติการอย่างรวดเร็ว ต้องคิดถึงอนาคตของโลก ซึ่งเป็นบ้านร่วมของพวกเรา และประเมินจุดหมายร่วมกันของพวกเราเสียใหม่
วิกฤติเหล่านี้ทำให้พวกเรามีความจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป ในขณะเดียวกัน ณ สภาวะที่เกิดความยากลำบากเหล่านี้ก็เป็นเวลาที่พวกเราจะต้องไม่ปล่อยให้โอกาสทองหลุดมือไปเปล่าๆ
พวกเราไม่สามารถที่จะเผชิญกับวิกฤติเหล่านี้ด้วยการอยู่อย่างโดดเดี่ยว หรือมัวแต่พะวักพะวนจะปกป้องตนเอง และฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น หรือพวกเราจะเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงจริงจัง นี่เป็นเวลาเหมาะสมที่จะกลับใจเปลี่ยนทัศนะคติและชีวิต ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงแค่ในความหมายฝ่ายจิตเท่านั้น
วิธีสุดท้ายนี้เท่านั้นที่จะนำพวกเราไปสู่ขอบฟ้าที่สดใสกว่า แต่จะเป็นไปได้ก็ต้องอาศัยเจตนารมณ์ที่ต้องฟื้นฟูขึ้นใหม่ในความรับผิดชอบร่วมกันต่อโลก และความเอื้ออาทรที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีรากฐานอยู่บนความยุติธรรม เจตนารมณ์แห่งเป้าหมายร่วมกัน และการยอมรับถึงความเป็นเอกภาพแห่งครอบครัวมนุษยชาติตามแผนการณ์ของพระเจ้าสำหรับชาวโลก
ทุกสิ่งเหล่านี้หมายถึงความท้าทายที่ยิ่งใหญ่แห่งวัฒนธรรม ซึ่งหมายถึงต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับความดีงามส่วนรวมคุณประโยชน์ของทุกคน และเรียกร้องให้พวกเราต้องเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์ จำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ใหม่ในศักดิ์ศรีของมนุษย์ทุกคน ทั้งในบัดนี้และในอนาคตจะชี้นำความคิดและการกระทำของพวกเรา
บทเรียนสำคัญที่สุดซึ่งพวกเราสามารถที่จะได้รับจากวิกฤติเหล่านี้ก็คือพวกเราจำเป็นต้องช่วยกันสร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะไม่มีเขตแดน เครื่องกีดขวาง หรือกำแพงการเมืองเพื่อที่พวกเราจะซ่อนตัว อย่างที่พวกเราทราบกันดีอยู่แล้วพวกเราไม่มีทางที่จะหลุดพ้นจากวิกฤติได้โดยปราศจากผู้อื่น
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ในวันที่ 4 ตุลาคม 2021 ข้าพเจ้าได้พบกับผู้นำศาสนาและนักวิทยาศาสตร์เพื่อลงนามแถลงการณ์ในปฏิญญาและวิงวอนร่วมกัน พวกเราเรียกร้องทั้งระหว่างพวกเราเองและผู้นำทางการเมืองให้ปฏิบัติตนด้วยความรับผิดชอบอย่างเสมอต้นเสมอปลายมากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจจากคำพูดของนักวิทยาศาสตร์ผู้หนึ่งในที่ประชุม ท่านพูดว่า “หากสิ่งต่างๆ ยังคงดำเนินต่อไปอย่างที่เป็นอยู่วันนี้ อีกห้าสิบปีข้างหน้าเหลนของข้าพเจ้าจะดำเนินชีวิตในโลกที่ไม่น่าอยู่อีกเลย”
พวกเราจะปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด!
จำเป็นที่พวกเราแต่ละคนจะต้องปวารณาตนที่จะสู้กับการเปลี่ยนทิศทางที่เร่งด่วนนี้ ซึ่งจะได้รับการทำนุบำรุงด้วยความเชื่อและชีวิตฝ่ายจิตของพวกเรา ในแถลงการณ์ร่วมพวกเราพูดถึงความจำเป็นที่ต้องกระทำการด้วยความรับผิดชอบต่อ “วัฒนธรรมแห่งการดูแลเอาใจใส่” สำหรับบ้านร่วมของพวกเรา แต่ก็สำหรับตัวพวกเราเองด้วย และพวกเราต้องทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อที่จะขจัด “เมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้ง ความโลภ ความไม่รู้ร้อนรู้หนาว ความโง่เขลา ความกลัว ความอยุติธรรม ความไม่ปลอดภัย และการใช้ความรุนแรง”
ก่อนหน้านี้ พวกเราฐานะมนุษยชาติไม่เคยมีเครื่องมือมากมายเช่นยุคนี้ในการที่จะบรรลุถึงเป้าหมาย ผู้ที่ตัดสินใจทางด้านการเมือง ซึ่งพวกท่านจะมาพบกันในการประชุม “COP26” ณ เมืองกลาสโกว (Glasgow) เพื่อเสาะหาวิธีตอบสนองที่มีประสิทธิภาพสำหรับวิกฤติแห่งธรรมชาติสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน เพื่อให้ความหวังที่เป็นรูปธรรมต่อชนรุ่นหลัง และนี่แหละเป็นโอกาสอันคู่ควรที่ต้องกล่าวย้ำว่า พวกเราแต่ละคนไม่ว่าพวกเราจะเป็นใครหรืออยู่ที่ไหน พวกเราสามารถที่จะมีบทบาทของแต่ละบุคคลในการตอบสนองร่วมกันต่อการคุกคามแห่งการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศและความเสื่อมโทรมของโลก ซึ่งเป็นบ้านร่วมของพวกเราแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บสาส์นของพระสันตะปาปาผ่านทางสถานีวิทยุบีบีซี มาแบ่งปันและไตร่ตรอง)