วันจันทร์, 11 พฤศจิกายน 2567
  

บทเทศน์ในพิธีบูชาขอบพระคุณของพระสันตะปาปาฟรานซิส วันสมโภชพระเยซูคริสต์กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล

          ภาพพจน์สองภาพจากพระวาจาของพระเจ้าที่พวกเราเพิ่งได้ฟังมาสามารถช่วยให้พวกเราเข้าใจถึงพระเยซูคริสต์กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล ประการแรกนำเอามาจากคัมภีร์ภาคหนังสือวิวรณ์ ซึ่งได้ทำนายล่วงหน้าไว้แล้วโดยประกาศกดาเนียลในบทอ่านที่หนึ่ง ซึ่งกล่าวว่า “พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับเมฆ” (วว. 1: 7; ดนล. 7: 13) การอ้างอิงนี้เป็นการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสต์ดุจพระเจ้าเมื่อสิ้นสุดประวัติศาสตร์ ภาพที่สองนำมาจากพระวรสาร: พระเยซูคริสต์ทรงยืนอยู่ต่อหน้าปิลาตและตรัสกับเขาว่า “เราคือกษัตริย์” (ยน. 18: 37) ลูก ๆ เยาวชนที่รัก นี่เป็นโอกาสดีที่พวกเราจะหยุดคิดสักนิดหนึ่งเกี่ยวกับสองภาพพจน์นี้ของพระเยซูคริสต์ในขณะที่พวกเรากำลังเริ่มก้าวเดินทางสู่วันเยาวชนโลกปี ค.ศ. 2023 ณ กรุงลิสบอน ประเทศปอร์ตุเกส

          ดังนั้นให้พวกเรามาไตร่ตรองภาพแรกกันก่อน: พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาพร้อมกับเมฆ ภาพพจน์นี้แสดงให้เห็นถึงการเสด็จมาอย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสต์เมื่อสิ้นพิภพ ทำให้พวกเรารับรู้ว่าคำตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับชีวิตของพวกเราจะเป็นคำพิพากษาของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นของพวกเรา พระคัมภีร์บอกพวกเราว่าพระองค์จะทรงเป็นผู้ที่ “เสด็จมาเหนือเมฆ” (สดด. 68: 5) ซึ่งอำนาจของพระองค์นั้นอยู่ในสวรรค์ (เทียบ ibid. ข้อ 34) พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ทรงเป็นดวงอาทิตย์ที่เสด็จมาจากเบื้องบนและไม่มีวันตกดิน เป็นพระองค์เดียวที่ทรงคงอยู่ตลอดกาลนิรันดร์ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะผ่านพ้นไป และทรงเป็นความหวังอันแน่นอนนิจนิรันดร์ของพวกเรา  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า คำพยากรณ์แห่งความหวังนี้ส่องสว่างให้กับราตรีที่มืดมิดของพวกเรา ซึ่งบอกพวกเราว่าพระเจ้าจะทรงเสด็จมาจริง พระองค์ทรงประทับอยู่ท่ามกลางพวกเราและทรงปฏิบัติการท่ามกลางพวกเรา ทรงชี้นำประวัติศาสตร์ของพวกเราให้เข้ามาหาพระองค์ ให้เข้าหาความดี พระองค์เสด็จมา “พร้อมกับกลุ่มเมฆ” เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับพวกเราราวกับจะบอกว่า “เราจะไม่ปล่อยให้ท่านอยู่ตามลำพังเมื่อมีพายุเกิดขึ้นกับชีวิตของท่าน เราจะอยู่กับท่านเสมอ เรามาเพื่อที่จะนำเอาท้องฟ้าที่แจ่มใสกลับคืนมา”

          ในอีกมุมมองหนึ่งประกาศกดาเนียลบอกพวกเราว่า เขาเห็นพระเจ้าเสด็จมาพร้อมกับเมฆในขณะที่เขา “ติดตามในการเห็นยามค่ำคืน” (ดนล. 7: 13) เป็นการเห็นยามค่ำคืน: พระเจ้าทรงเสด็จมายามค่ำคืนด้วย บ่อยครั้งท่ามกลางเมฆมืดที่ครอบคลุมชีวิตของพวกเรา พวกเราต่างทราบกันดีถึงเวลาเหล่านั้น พวกเราจำเป็นต้องมีความสามารถที่จะรู้จักพระองค์เพื่อที่จะมองข้ามยามค่ำคืน เพื่อที่ทอดสายตาของพวกเราขึ้นเพื่อที่เห็นพระองค์ท่ามกลางความืดมนของพวกเรา

          เยาวชนที่รัก เช่นเดียวกัน ชีวิตของพวกเธอขอให้ “เฝ้าระวังการมองเห็นยามค่ำคืน” นี่หมายความว่าอย่างไร?  นี่หมายความว่าพวกเธอต้องเปิดดวงตาให้สดใสอยู่เสมอท่ามกลางความมืดมัว อย่างเลิกแสวงหาแสงสว่างไม่ว่าจะท่ามกลางความมือใด ๆ ที่พวกเราอาจตกอยู่ในใจของพวกเธอ หรือในสิ่งที่พวกเธอเห็นรอบ ๆ ตัวพวกเธอ จงช้อนสายตาจากแผ่นดินโลกสู่สวรรค์ ไม่ใช่เพื่อที่จะหนีไปจากความมืด แต่เพื่อที่จะต่อต้านการล่อลวงในการที่จองจำตนเองเพราะความกลัว เพราะว่าชีวิตจะมีอันตรายอยู่เสมอที่ความกลัวจะมาครอบงำ อย่าปิดกั้นตัวเองแล้วมัวแต่บ่น จงยกสายตาของเธอขึ้น! จงลุกขึ้น! นี่คือคำพูดให้กำลังใจที่พระเจ้าตรัสกับพวกเรา ซึ่งเป็นการเชื้อเชิญให้พวกเรายกสายตาขึ้น ให้พวกเราลุกขึ้น และพ่อต้องการย้ำเตือนในสาส์นของพ่อถึงพวกเธอสำหรับปีนี้ที่พวกเราจะต้องก้าวเดินไปด้วยกัน พวกเธอได้รับมอบหมายหน้าที่ ซึ่งน่าตื่นเต้นยินดีแต่ก็เป็นสิ่งที่ท้าทายด้วย นั่นคือให้ยืนขึ้นสูงในขณะที่ทุกสิ่งรอบตัวพวกเราดูเหมือนกำลังจะล่มสลาย พวกเธอต้องพร้อมที่จะมองเห็นความสว่างในยามค่ำคืน ต้องเป็นผู้สร้างท่ามกลางสิ่งปลัก หักพังของโลกในทุกวันนี้ พวกเธอต้องสามารถที่จะสานฝัน นี่เป็นเรื่องสำคัญ: หนุ่มสาวที่ไม่รู้จักสานฝันจะแก่ตัวลงก่อนเวลา ต้องเป็นคนที่สามารถใฝ่ฝัน เพราะว่านี่คือสิ่งที่บุคคลที่มีความฝันเขาทำกัน พวกเขาไม่อยู่นิ่งกับที่ในความมืด แต่เขาจะจุดเทียน นั่นคือเปลวไฟแห่งความหวังที่ประกาศให้รู้ถึงยามเช้าที่จะตามมา จงสานฝัน จงเร่งรีบ และมองไปยังอนาคตด้วยความกล้าหาญ

          พ่ออยากจะบอกอะไรพวกเธอบางอย่าง เราทุกคนรู้สึกต่างก็มีใจให้กับพวกเธอเมื่อพวกเธอสานฝัน “แต่นี่เป็นจริงหรือ?เมื่อคนหนุ่มสาวฝัน ซึ่งบางทีก็มีเสียงด้วย” เพราะว่าเสียงนั้นคือผลแห่งความฝันของเธอ เมื่อเธอนำพระเยซูคริสต์เป็นความฝันแห่งชีวิตของเธอ และเธอยึดมั่นในพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดีและด้วยความกระตือรือร้นอย่างกล้าหาญ หมายความว่าพวกเธอไม่ต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ในความมืด นี่จะทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกดี ขอบคุณพวกเธอสำหรับเวลาเหล่านั้นเมื่อเธอกระทำการด้วยความกล้าหาญ เพื่อที่จะทำความฝันของพวกเธอเป็นจริงเมื่อพวกเธอเชื่อในความสว่างแม้ว่าจะตกอยู่ในความมืด เมื่อพวกเธออุทิศตนอย่างหมดใจให้กับการทำให้โลกนี้สวยงามและมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ขอขอบคุณพวกเธอสำหรับวันเวลาเมื่อพวกเธอสร้างความฝันแห่งภราดรภาพ ทำงานเพื่อเยียวยาบาดแผลสิ่งสร้างของพระเจ้า  ดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้มีการเคารพต่อศักดิ์ศรีของผู้ที่ต่ำต้อยและเผยแพร่เจตนารมณ์แห่งความเอื้ออาทรและการแบ่งปัน  ที่สำคัญพ่อขอบคุณพวกเธอเพราะในโลกที่คิดเพียงแค่หากำไรและไม่สนใจกับอุดมการณ์ที่ดี พวกเธอก็ยังไม่สูญเสียความสามารถที่จะสานฝันในโลกนี้  อย่าปล่อยให้ชีวิตเฉื่อยชาหรือนอนหลับไหล ตรงกันข้ามต้องมีความฝันและต้องเจริญชีวิตให้เต็มที่ นี่จะเป็นการช่วยพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่และช่วยพระศาสนจักรไปในเวลาเดียวกัน ใช่แล้ว นี่แหละจะช่วยพระศาสนจักรได้เช่นเดียวกัน พวกเราต้องการความกระตือรือร้นของเยาวชนเพื่อที่จะเป็นประจักษ์พยานต่อพระเจ้าผู้ทรงหนุ่มแน่นเสมอ

          พ่อขอบอกอะไรอีกอย่างหนึ่งแก่พวกเธอ: ความคิดหลายอย่างของพวกเธอจะเหมือนกับข้อความในพระวรสาร ภราดรภาพ ความเอื้ออาทร สันติสุข  เหล่านี้คือความฝันของพระเยซูคริสต์เพื่อมนุษยชาติ จงอย่าได้กลัวที่จะพบปะกับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงรักความฝันของพวกเธอและจะช่วยให้ความฝันนั้นเป็นจริง พระคาร์ดินัลคาร์โล มารีอา มาร์ตีนี อดตีดอาร์ชบิชอปแห่งกรุงมิลานมักจะกล่าวว่า พระศาสนจักรและสังคมต้องการ “นักฝันที่เปิดใจกว้างสู่สู่พระจิต นั่นจะทำให้พวกเราเกิดความมหัศจรรย์ใจ” (Conversazioni notturne a Gerusalemme, Sul rischnio della fede, p. 61)  นี่เป็นสิ่งที่สวยสดงดงาม พ่อหวังและภาวนาให้พวกเธอเป็นนักฝันคนหนึ่งในบรรดานักฝันทั้งปวง

          บัดนี้พวกเรามาถึงภาพพจน์ที่สอง: พระเยซูคริสต์ตรัสกับปิลาตว่า “เราเป็นกษัตริย์” พวกเรารู้สึกทึ่งในการตัดสินใจของพระเยซูคริสต์ ในความกล้าหาญ และในเสรีภาพสูงสุดของพระองค์ พระเยซูคริสต์ถูกจับและนำไปยังศาล ถูกไต่สวนจากผู้ที่มีอำนาจลงโทษขั้นประหารชีวิต ในสถานการณ์เช่นนั้นพระองค์มีสิทธิ์ที่จะปกป้องตนเองหรือแม้กระทั่ง “จัดการ” ให้มีการออมชอมกันก็สามารถทำได้ แต่ตรงกันข้ามพระเยซูคริสต์มิได้ปิดบังอัตลักษณ์ของตนเอง พระองค์มิได้ปิดซ่อนความตั้งใจของพระองค์ หรือกระทั่งฉวยโอกาสที่ปิลาตเปิดทางทิ้งไว้ให้พระองค์ ด้วยความกล้าหาญที่เกิดจากความจริงพระองค์ตอบว่า “เราคือกษัตริย์”  พระองค์ทรงรับผิดชอบต่อชีวิตของพระองค์เอง พวกเรามีพันธกิจที่พวกเราจะต้องทำให้สำเร็จเพื่อที่จะเป็นประจักษ์พยานต่อพระอาณาจักรแห่งพระบิดา” เพราะเรื่องนี้ พระองค์ตรัส “เราเกิดมาในโลกนี้ก็เพื่อที่จะเป็นประจักษ์พยานต่อความจริง” (ยน. 18: 37) นี่คือพระเยซูคริสต์ผู้เสด็จมาโดยปราศจากการทำตัวเป็นคนตีสองหน้าเพื่อที่จะประกาศชีวิตของพระองค์ว่าพระอาณาจักรของพระองค์นั้นแตกต่างจากอาณาจักรโลก พระเจ้ามิได้ปกครองเพื่อที่จะเพิ่มอำนาจของพระองค์และเพื่อที่จะบีบบังคับผู้อื่น พระองค์มิได้ปกครองด้วยอำนาจแห่งอาวุธ พระอาณาจักรของพระองค์เป็นพระอาณาจักรแห่งความรัก “เราเป็นกษัตริย์” แห่งอาณาจักรของผู้ที่มอบชีวิตของตนเองเพื่อความรอดของผู้อื่น

          เยาวชนที่รัก เสรีภาพของพระเยซูคริสต์ดึงดูดใจพวกเรา ให้พวกเรายอมให้เสรีภาพนั้นก้องกังวานในตัวพวกเรา ท้าทายพวกเรา ปลุกใจพวกเราให้มีความกล้าหาญที่เกิดจากความจริง ให้พวกเราถามตัวพวกเราเองว่า ฉันเป็นเหมือนปิลาตหรือเปล่าโดยมองไปที่ดวงตาของพระเยซูคริสต์ แล้วฉันรู้สึกอับอายในสิ่งใดบ้าง?  เมื่อเผชิญหน้ากับความจริงของพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นคนหลอกลวงในสิ่งใดบ้างไหม หรือว่าฉันเป็นคนชอบตีสองหน้าเล่นละครในเรื่องใดบ้างที่ทำให้พระองค์ไม่พอใจ”  พวกเราแต่ละคนจะพบกับหนทางนั้น จงแสวงหาความจริงให้พบ พวกเราทุกคนเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกด้วยกันทั้งนั้น พวกเราทุกคนชอบออมชอมในการ “จัดการกับสิ่งต่างๆ แบบจัดฉาก” เพื่อหลีกเลี่ยงไม้กางเขน เป็นการดีที่พวกเราจะยืนอยู่ต่อหน้าพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นองค์แห่งความจริง เพื่อที่จะให้พวกเราเป็นไทจากการหลอกลวงของพวกเรา เป็นการดีที่จะนมัสการพระเยซูคริสต์เพื่อผลตามมาที่พวกเราจะเป็นอิสระจากการล่อลวงภายในใจ ที่จะกล้ามองชีวิตอย่างที่เป็นจริง และไม่ถูกลวงด้วยแฟชั่นตามยุคสมัย และบริโภคนิยมที่กำลังแพร่หลายอันนำมาซึ่งความตาย มิตรสหายที่รัก พวกเราเกิดมาในโลกที่จะต้องไม่คล้อยตามไปกับกระแสโลก แต่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของพวกเราโดยยอม “รู้จักเสียสละบ้าง” เพื่อที่จะมีชีวิตได้อย่างสมบูรณ์

          โดยอาศัยวิธีนี้พร้อมกับเสรีภาพของพระเยซูคริสต์ พวกเราจะมีความกล้าหาญที่จำเป็นในการว่ายทวนกระแสน้ำ พ่อปรารถนาที่จะเน้นถึงประเด็นนี้ การว่ายทวนกระแส พวกเราต้องกล้าที่จะว่ายทวนกระแส ไม่ใช่การล่อลวงที่จะว่ายทวนผู้อื่นเฉกเช่นนักคิดค้นทฤษฎีที่มัวแต่ชอบโทษผู้อื่น ทว่าต้องเป็นการต้านกระแสที่ไม่ถูกต้องแห่งการเห็นแก่ตัวของพวกเราเอง การปิดกั้นตัวเอง และความเข้มงวดซึ่งบ่อยครั้งแสวงหาเพียงแค่เพื่อความอยู่รอดของพวกตนฝ่ายเดียว ต้องไม่เป็นเช่นนี้ แต่ต้องว่ายทวนกระแสเพื่อที่จะเป็นผู้ที่ละม้ายคล้ายกับพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเราให้ต่อสู้กับความชั่วร้ายด้วยการกระทำความดีโดยปราศจากหนทางลัด ปราศจากการหลอกลวง ปราศจากเป็นคนการตีสองหน้าแบบจัดฉากเล่นละคร โลกของพวกเรานั้นเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไม่ต้องการการออมชอมใด ๆ ที่มีลักษณะสองแง่สองง่ามอีกต่อไป ไม่ต้องการคนที่ถอยหน้าถอยหลังอีกต่อไปแล้วแต่ทิศทางลมจะพัดไป ไม่ว่าที่ใดที่ตนจะมีประโยชน์ หรือไม่ก็ไปทางซ้ายบ้างทางขวาบ้างแล้วแต่ว่าสิ่งใดจะสะดวกสบายที่สุดเหมือนคนที่ชอบ “นั่งอยู่บนกำแพง” คริสตชนแบบนี้ดูเหมือนจะเป็นนัก “รักษาความสมดุล” มากกว่าที่จะเป็นคริสตชนตามเจตนารมณ์แท้จริง ผู้ที่รักษาความสมดุลอยู่เสมอจะพยายามที่จะหาทางที่จะไม่ทำให้มือของตนเองเปื้อนเพื่อที่จะออมชอมกับชีวิตของตนและไม่เปลืองตัว หลายคนไม่ต้องจริงจังกับชีวิต ได้โปรดเถิด จงระมัดระวังที่จะเป็นเยาวชนเช่นนี้ ตรงกันข้ามชีวิตต้องเป็นไท ต้องมีมโนธรรมที่เที่ยงตรงให้กับสังคม อย่ากลัวที่จะวิจารณ์พูดจากใจ พวกเราต้องการการวิจารณ์ของพวกเธอ พวกเธอหลายคนแสดงความตกใจต่อการเป็นพิษของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม พวกเราต้องการเรื่องเช่นนี้ จงเป็นอิสระที่จะวิจารณ์ในสิ่งถูกต้อง จงรักความจริง เพื่อในความฝันของพวกเธอจะสามารถกล่าวได้ว่า “ชีวิตของฉันไม่ได้เป็นทาสของแห่งความคิดของโลก ฉันเป็นไทเพราะฉันกรำชีวิตไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์เพื่อความยุติธรรม เพื่อความรัก และเพื่อสันติสุข” เยาวชนที่รัก พ่อหวังและภาวนาว่าเธอแต่ละคนสามารถที่จะกล่าวด้วยความชื่นชมยินดีว่า “พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ฉันก็เป็นกษัตริย์เช่นเดียวกัน” ฉันก็ครองราชย์เช่นเดียวกัน ในฐานะที่เป็นเครื่องหมายทรงชีวิตแห่งความรักของพระเจ้า ขอพระเมตตาและความอ่อนโยนของพระองค์ ฉันเป็นนักฝันที่ตื่นเต้นยินดีกับแสงสว่างแห่งพระวรสาร และฉันตั้งตารอคอยด้วยความหวังในการมองเห็นยามค่ำคืน และทุกครั้งที่ฉันพลาดท่าล้มลง ฉันจะพบกับความกล้าหาญใหม่ในพระเยซูคริสต์ที่จะดิ้นรนต่อสู้ต่อไปและหวังที่จะมีความฝันต่อไปในทุกขั้นตอนของชีวิต

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์พระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)