ลูก ๆ บรรดาเยาวชนที่รัก
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พ่ออยากจูงมือและเดินไปด้วยกันกับพวกเธอในการเดินทางเพื่อการจาริกแสวงบุญชีวิตฝ่ายจิตซึ่งจะนำไปสู่วันเยาวชนโลกในปี ค.ศ. 2023 ที่กรุงลิสบอน ประเทศปอร์ตุเกส
สาส์นในปีที่แล้วที่พ่อได้ลงนามก่อนเกิดการแพร่โรคระบาดเล็กน้อยมีหัวข้อว่า “หนุ่มเอ๋ย เราบอกเจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” (ลก. 7: 14) ในพระญาณสอดส่องพระเจ้าทรงเตรียมพวกเราไว้แล้วสำหรับการท้าทายครั้งสำคัญเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเราจะพบและมีประสบการณ์
ในทั่วโลกทุกแห่งหนพวกเราสูญเสียบุคคลที่พวกเรารักไปจำนวนมาก และได้รับประสบการณ์จากการที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวทางสังคม ภัยสุขภาพเป็นจุดอ่อนพิเศษสำหรับพวกเธอที่เป็นเยาวชน เพราะชีวิตของพวกเธอโดยธรรมชาติแล้วต้องแสดงออกภายนอก ต้องไปเรียน ต้องไปทำงาน ต้องมีสังคม เธอพบว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากที่พวกเธอไม่เคยประสบมาก่อน สำหรับบุคคลที่เผชิญความยากลำบากหรือขาดการสนับสนุนต่างพากันวุ่นวายใจไม่รู้แหล่งข้อมูลแท้จริงจะต้องทำเช่นใด พวกเราเห็นว่าภายในครอบครัวต่างก็มีปัญหาเพิ่มขึ้น มีการตกงาน มีการรู้สึกท้อแท้ มีการอยู่อย่างโดดเดี่ยว มีการเสพยาเสพติดด้วย นี่ยังไม่พูดถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในแต่ละวัน การเป็นคนที่โกรธง่าย หงุดหงิดใจไร้เหตุผล และการใช้ความรุนแรงที่ทวีมากขึ้น
อย่างไรก็ตามพวกเราต้องขอบคุณพระเจ้า นี่เป็นเพียงด้านหนึ่งของเหรียญเท่านั้น ประสบการณ์ต่าง ๆ แสดงให้พวกเราเห็นถึงความเปราะบางของพวกเรา แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพวกเราด้วยรวมถึงความโน้มเอียงของพวกเราในความเอื้ออาทร พวกเราจะเห็นปัจเจกบุคคลจำนวนมากรวมทั้งเยาวชนด้วยทั่วทั้งโลกที่พากันช่วยเหลือชีวิต หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความหวัง เชิดชูเสรีภาพและความยุติธรรมและกระทำการดุจนักสร้างสันติสุขและนักสร้างสะพาน
เมื่อใดที่เยาวชนพลาดล้มลงซึ่งในมุมมองหนึ่งมนุษย์ทุกคนต่างก็พลาดล้มลงได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็เป็นความจริงว่าเมื่อใดที่เยาวชนลุกขึ้นยืน ที่นั่นก็เหมือนกับว่าโลกทั้งโลกต่างก็ลุกขึ้นยืนด้วย ลูก ๆ เยาวชนที่รัก พวกเธอช่างมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินในมือของเธอ! ช่างมีพลังอันยิ่งใหญ่เหลือเกินในหัวใจของพวกเธอ!
วันนี้ก็เช่นเดียวกันพระเจ้าตรัสกับเธอแต่ละคนว่า “จงลุกขึ้นเถิด” พ่อหวังว่าสาส์นนี้อาจช่วยให้พวกเธอเตรียมเตรียมตัวสำหรับยุคใหม่และโฉมหน้าใหม่ในประวัติศาสตร์แห่งมนุษยชาติ ทว่าพวกเราไม่อาจที่เริ่มต้นใหม่ได้หากปราศจากพวกเธอ หากจะให้โลกของพวกเราลุกขึ้นยืนได้จำเป็นต้องมีพลัง ความกระตือรือร้น และความตั้งใจจริงของพวกเธอ ดังนั้นพ่อจึงอยากที่จะรำพึงไตร่ตรองกับพวกเธอถึงข้อความในหนังสือกิจการของอัครสาวกซึ่งพระเยซูคริสต์ตรัสกับนักบุญเปาโลว่า “จงลุกขึ้นยืนเถิด เราแต่งตั้งให้เจ้าเป็นพยานถึงสิ่งที่เจ้าเห็น” (กจ. 26: 16)
การเป็นพยานของเปาโลต่อหน้ากษัตริย์
ถ้อยคำที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับหัวข้อสำหรับวันเยาวชนโลกในปี ค.ศ. 2023 นำมาจากการเป็นประจักษ์พยานของเปาโลต่อหน้ากษัตริย์อากริปปา หลังจากที่เปาโลถูกจับเข้าเรือนจำ เปาโลซึ่งในอดีตเป็นศัตรูและผู้เบียดเบียนคริสตชน ทว่าบัดนี้ต้องขึ้นศาลเพราะความเชื่อของท่านในพระเยซูคริสต์ ต่อมาภายหลังอีกประมาณ 25 ปี ท่านอัครสาวกเล่าเรื่องการที่ท่านได้พบกับพระเยซูคริสต์อย่างประหลาดอัศจรรย์
เปาโลเล่าว่าท่านได้เบียดเบียนคริสตชนจนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังเดินทางไปยังเมืองดามัสกัสเพื่อที่จะจับคริสตชนบางคน แสงสว่าง “ที่สว่างกว่าแสงอาทิตย์” ส่องแสงรอบตัวท่านและพรรคพวกของท่าน (เทียบ กจ. 26: 13) แต่มีเพียงท่านเท่านั้นที่ได้ยิน “เสียง” ซึ่งเป็นเสียงของพระเยซูคริสต์ที่ตรัสกับท่านโดยเรียกชื่อของท่าน เซาโล
เซาโล! เซาโล!
ขอให้พวกเราลองมองเหตุการณ์นี้อย่างใกล้ชิด โดยการเรียกชื่อเซาโล เซาโล พระเยซูคริสต์ทรงทำให้ท่านรับรู้อย่างแท้จริงว่า พระองค์ทรงรู้จักท่านเป็นการส่วนตัว เหมือนกับพระองค์ตรัสว่า “เรารู้ว่าท่านเป็นใคร และท่านกำลังจะทำอะไร กระนั้นก็ดีเราจะขอพูดตรงๆ กับท่าน” สองครั้งที่พระเจ้าทรงเรียกชื่อเซาโล เสมือนว่าเป็นเครื่องหมายแห่งกระแสเรียกที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้มาแล้วกับโมเสส (เทียบ อพย. 3: 4) และกับซามูเอล (เทียบ 1 ซมอ. 3: 10) เมื่อเซาโลล้มลงสู่พื้นดินจึงทำให้เซาโลรับรู้ว่าท่านได้พบกับการกระทำของพระเจ้า เป็นการเผยแสดงที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทำให้ท่านตกหลังม้าด้วยความว้าวุ่นใจ ทว่าไม่ได้ทำลายชีวิตของท่าน ตรงกันข้ามท่านพบว่าตนเองถูกเรียกขานชื่อ
โดยผ่านทางการพบปะกับพระเยซูคริสต์เป็นการส่วนตัวและอย่างเร้นลับเท่านั้น ที่จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงชีวิต พระเยซูคริสต์ทรงเผยแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงรู้จักเปาโลเป็นอย่างดีเลิศ “แบบหมดไส้หมดพุง” แม้เปาโลจะเป็นนักล่าผู้เบียดเบียน แม้หัวใจของท่านจะเปี่ยมล้นด้วยความเกลียดชังบรรดาคริสตชน พระเยซูคริสต์ก็ทรงรับรู้ว่านี่เป็นเพราะความไม่รู้ ความเขลา พระองค์ทรงต้องการที่จะแสดงพระเมตตาต่อเซาโลด้วยพระหรรษทานเช่นนี้ ความรักที่ปราศจากเงื่อนไขที่ตนเองไม่สมควรที่จะได้รับนี้จะเป็นแสงสว่างที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเซาโลอย่างสิ้นเชิง
ข้าแต่พระอาจารย์ ท่านคือผู้ใด?
จากเสียงเรียกอันลึกลับที่เรียกชื่อของท่าน เซาโลจึงถามว่า “พระอาจารย์ ท่านคือผู้ใด?” (กจ. 26: 15) คำถามนี้เป็นคำถามเด็ดขาดและไม่เร็วก็ช้าพวกเราทุกคนต้องตั้งคำถามนี้ ซึ่งไม่เป็นการเพียงพอที่จะได้ยินได้ฟังคนอื่นที่พูดเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ พวกเราต้องถามพระองค์โดยตรงเป็นการส่วนตัวแบบลึกๆ ลงไป นี่แหละคือเรื่องของการสวดภาวนาทั้งสิ้น การสวดภาวนาหมายถึงการสนทนากับพระเยซูคริสต์โดยตรงแม้ว่าหัวใจพวกเราอาจจะยังสับสน หรือมีความสงสัย หรือแม้กระทั่งสบประมาทพระเยซูคริสต์และกลุ่มคริสตชน พ่อขอให้ลูก ๆ เยาวชนทุกคนในห้วงลึกแห่งหัวใจจะตั้งคำถามนี้ในที่สุดว่า “พระอาจารย์ พระองค์เป็นใคร?”
พวกเราไม่อาจที่จะพูดแบบเหมารวมว่าทุกคนรู้จักพระเยซูคริสต์ แม้ในยุคของอินเตอร์เน็ตก็ตาม คำถามที่หลายคนมักตั้งถามเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และพระศาสนจักรของพระองค์ก็คือ “ท่านเป็นใคร?” สำหรับเรื่องราวการเรียกของเซาโล นี่เป็นเวลาเดียวที่เซาโลพูด แล้วพระเยซูคริสต์ก็ตอบทันทีว่า “เราคือเยซู คนที่เจ้ากำลังเบียดเบียน” (กจ 26:15)
“เราคือเยซู คนที่เจ้ากำลังเบียดเบียน!”
ด้วยคำตอบนี้พระเยซูคริสต์ทรงเผยให้เซาโลเห็นพระธรรมล้ำลึกที่ยิ่งใหญ่ ท่านเห็นตนเองว่าเป็นผู้หนึ่งกับพระศาสนจักรกับกลุ่มคริสตชน จนถึงบัดนี้เซาโลไม่เห็นอะไรเลยเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ท่านเห็นเพียงแค่บรรดาคริสตชนที่ท่านกำลังไปจับขังคุก (เทียบ กจ. 26: 10) และการสังหารคริสตชนที่ท่านเห็นชอบ ท่านเห็นว่ากลุ่มคริสตชนตอบแทนความชั่วด้วยความดี ตอบแทนความเกลียดชังด้วยความรัก คริสตชนสู้ทนกับความอยุติธรรม ต่อสู้การใช้ความรุนแรง น้อมรับการใส่ร้ายป้ายสี และคริสตชนยอมรับการเบียดเบียนอย่างไรเพื่อเห็นแก่พระนามของพระเยซูคริสต์ ท่านจึงได้พบกับพระองค์ในหมู่คริสตชน!
กี่ครั้งกี่หนที่พวกเรามักจะได้ยินที่มีการพูดกันว่า “สำหรับพระเยซูคริสต์ โอเค แต่สำหรับพระศาสนจักรไม่โอเค” ราวกับว่ามีการเลือกกันได้ พวกเราไม่อาจที่จะรู้จักพระเยซูคริสต์ได้ ถ้าหากพวกเราไม่รู้จักพระศาสนจักร พวกเราไม่อาจที่จะรู้จักพระเยซูคริสต์ถ้าหากพวกเราแยกพระองค์ออกจากบรรดาพี่น้องชายหญิงในชุมชนของพวกเรา พวกเราไม่สามารถที่จะเรียกตัวพวกเราว่าเป็นคริสตชนที่สมบูรณ์ นอกจากว่าพวกเรามีประสบการณ์กับมิติแห่งความเชื่อของพระศาสนจักร
“ท่านจะเจ็บตัวเมื่อไปเตะสะดุดกับประตัก (ไม้ที่ฝังเหล็กแหลม)”
ด้วยคำพูดเหล่านี้พระเยซูคริสต์ตรัสกับเซาโลหลังจากที่ท่านตกจากหลังม้า และหลังจากนั้นสักครู่หนึ่งท่านก็ไม่สงสัยเลยว่า คำพูดเหล่านั้นถูกกล่าวย้ำแล้วย้ำอีกว่าพระเยซูคริสต์ต้องการดึงให้ท่านมาหาพระองค์ กระนั้นเซาโลก็ยังดื้อไม่ยอมจำนนทันที เช่นเดียวกันพระเยซูคริสต์ทรงกล่าว “ตำหนิติเตียน” อย่างสุภาพอ่อนโยนกับบรรดาลูก ๆ เยาวชนทุกคนที่หันหลังให้กับพระองค์ “เธอจะหนีจากเราไปนานสักเท่าไร? ทำไมเธอไม่ฟังเสียงที่เราเรียก? เรากำลังรอเธอให้กลับมาหาเรา” ทว่าพวกเราอาจมีเวลาไตร่ตรองและอาจพูดเหมือนกับประกาศกเยเรมีห์ว่า “ข้าพเจ้าจะไม่อยากคิดถึงพระองค์อีกต่อไป” (เทียบ ยรม. 20: 9) แต่ว่าไฟที่แผดเผาอยู่ในใจของแต่ละคนนี่สิ แม้พวกเราจะทำใจแข็งทว่าพวกเราก็จะไม่มีวันทำได้สำเร็จ เพราะว่าดูเหมือนมีอำนาจเข้มแข็งมากกว่าพวกเรา
พระเจ้าทรงเลือกบางคนที่เบียดเบียนพระองค์ ที่เป็นศัตรูกับพระองค์และผู้ที่ติดตามพระองค์ พวกเราจะเห็นได้ว่าในสายพระเนตรของพระเจ้านั้นไม่มีผู้ใดถูกปล่อยให้ตกหล่นไป ต้องขอบคุณการที่ได้พบปะเป็นการส่วนตัวกับพระองค์ พวกเราสามารถที่จะเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ไม่มีเยาวชนคนใดที่จะอยู่เกินเลยไปกว่าการเอื้อมถึงของพระหรรษทานและพระเมตตา พวกเราไม่อาจที่จะพูดถึงผู้ใดได้ว่า โอนี่ชีวิตฉันเดินไกลเกินไปแล้ว… นี่สายเกินไปแล้ว… ยังมีเยาวชนอีกจำนวนมากที่เป็นผู้ต่อต้านอย่างเอาเป็นเอาตายกลายเป็นปฏิปักษ์ศัตรูกับพระเจ้า ในขณะที่ในห้วงลึกภายในหัวใจของพวกเขานั้น ก็สำนึกแบบเซาโลและรู้สึกได้ว่ามีความจำเป็นที่ต้องทำอะไรสักอย่าง ที่จะต้องแสดงออกในความรักด้วยสุดหัวใจ ที่จะมีพันธกิจในชีวิต เฉกเช่นในเซาโลหนุ่ม ผู้ที่พระเยซูคริสต์ทรงมองเห็นภายในตัวท่านเช่นนั้น
การรับรู้ถึงความตาบอดของพวกเรา
พวกเราอาจจินตนาการว่าก่อนที่จะได้พบกับพระเยซูคริสต์ เซาโลรู้สึกว่า “ตนมีพร้อมทุกอย่าง” ท่านคิดว่าตนเองนั้น “ยิ่งใหญ่” บนพื้นฐานแห่งความครบครันในเรื่องของจริยธรรม ความร้อนรน ภูมิหลัง และการศึกษา แน่นอนว่าเซาโลมั่นใจว่าท่านเป็นคนชอบธรรม แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเผยพระองค์แล้ว เซาโลถึงกับตกจากหลังม้า จากนั้นตาบอดมองไม่เห็นอะไร บัดดลนั้นเซาโลไม่สามารถที่จะมองเห็นอะไรทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิต ความมั่นใจของท่านถูกสั่นสะเทือน ภายในใจนั้นท่านรับรู้ว่าความกระเสือกกระสนแบบสุดโต่งที่จะสังหารกลุ่มคริสตชนนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างสิ้นเชิง เซาโลรับรู้ว่าท่านไม่ได้มีความจริงอันสูงสุด และจริงๆ แล้วท่านยังห่างไกลจากความจริงอันเที่ยงแท้ด้วยซ้ำไป ความแน่นอนและความเย่อหยิ่งทระนงของท่านต้องมลายหายไปสิ้น ทันใดนั้นท่านพบตัวเองว่าเป็นคนหลงผิด อ่อนแอ และ “เป็นคนตัวเล็กที่ไร้ความหมาย”
ความสุภาพดังกล่าว – การรับรู้ถึงข้อจำกัดของพวกเรา – เป็นสิ่งสำคัญ! ผู้ที่เชื่อว่าตนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับผู้อื่น หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับความจริงทางด้านศาสนาจะพบว่านี่เป็นเรื่องยากที่จะได้พบกับพระเจ้า เซาโลเมื่อเผชิญความมืดบอดแล้วก็สูญเสียจุดอ้างอิง ท่านตกอยู่ในความมืดตามลำพัง สิ่งที่ชัดเจนเพียงแค่อย่างเดียวสำหรับท่านคือแสงสว่างที่ท่านเห็นและเสียงที่ท่านได้ยิน ฟังดูแล้วช่างขัดแย้งกันพิกล! ความขัดแย้งคือขณะที่พวกเราตาบอดเท่านั้น พวกเราจึงเริ่มที่จะมองเห็น!
หลังจากประสบการณ์อันเหลือเชื่อบนท้องถนนสู่เมืองดามัสกัสนั้น เซาโลปรารถนาจะให้ตนมีชื่อใหม่ว่า “เปาโล” เป็นชื่อที่หมายถึง “เล็กน้อยต่ำต้อย” นี่ไม่ได้หมายถึงชื่อเล่นหรือชื่อสมมุติที่นิยมกันในทุกวันนี้ การที่ได้พบกับพระเยซูคริสต์ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของเซาโล ทำให้ท่านรู้สึกว่าตนเองนั้นเป็นผู้ที่เล็กน้อยต่ำต้อยจริง ๆ และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่กีดกั้นมิให้ท่านรู้จักตนเอง ดังที่ท่านบอกพวกเราว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยที่สุดในบรรดาอัครสาวก เพราะข้าพเจ้าเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระเจ้า” (1 คร. 15: 9)
นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู (ลีซีเออร์) เฉกเช่นนักบุญอีกหลายองค์รักที่จะกล่าวว่าความสุภาพนั้นคือความจริง ทุกวันนี้พวกเราใช้เวลาทั้งหมดของพวกเราไปในเรื่องของการสื่อสารที่มี “เรื่องราว” มากมาย ซึ่งบ่อยครั้งมีการสร้างภาพ สร้างสีสัน จัดฉาก ต่อเติมเสริมแต่ง ที่ต้องการให้เกิดผลกระทบเป็นพิเศษ ยิ่งวันพวกเรายิ่งต้องการที่จะทำตัวเป็นพระเอก นางเอก ทำกรอบตนเองไว้อย่างสวยงามพร้อมที่จะโอ้อวดให้เพื่อนๆ และผู้ติดตามเห็นภาพพจน์ของพวกเราที่ไม่อาจสะท้อนชีวิตได้อย่างตรงไปตรงมาว่าแท้จริงแล้วตัวเราเป็นใคร พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันผู้เสด็จมาส่องสว่างให้พวกเราและฟื้นฟูความเป็นตัวตนของพวกเรา ทำให้พวกเราเป็นไทจากการสวมใส่หน้ากากทุกอย่างของพวกเรา พระองค์ทรงชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตัวตนของพวกเราเป็นใคร เพราะนั่นเป็นความรักของพระองค์ที่มีต่อพวกเรา
การเปลี่ยนแปลงวิสัยทัศน์
การกลับใจของเปาโลไม่มีการหันหลังกลับ แต่เป็นการเปิดใจกว้างสู่หนทางใหม่อย่างสิ้นเชิงของการมองสิ่งต่างๆ ท่านเดินทางต่อไปยังเมืองดามัสกัส ทว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป บัดนี้ท่านเป็นบุคคลใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม (เทียบ กจ. 22: 10) การกลับใจสามารถฟื้นฟูชีวิตประจำวันของพวกเราได้ พวกเรายังคงจะทำสิ่งต่างๆที่พวกเราเคยทำมาเป็นประจำ แต่หัวใจและแรงบันดาลใจของพวกเราจะเปลี่ยนแปลงไป ในกรณีของเปาโลพระเยซูคริสต์ทรงบอกให้ท่านเดินทางต่อไปยังเมืองดามัสกัส ซึ่งท่านเคยไปที่นั่นมาแล้วก่อนหน้านั้น เปาโลนอบน้อมแต่ว่าเป้าหมายของการเดินทางของท่านเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง จากจุดนี้เป็นต้นไปเปาโลจะมองสิ่งต่างๆ ด้วยสายตาใหม่ ไม่เป็นผู้เบียดเบียนและเป็นเพชฌฆาตอีกต่อไป ทว่าท่านกลายเป็นศิษย์ธรรมทูตและประจักษ์พยาน ณ เมืองดามัสกัส อานาเนียจะล้างบาปให้ท่านและมอบท่านให้กับชุมชนคริสตชน ในความเงียบสงบและการอธิษฐานภาวนาเปาโลจะทวีประสบการณ์และอัตลักษณ์ใหม่ของตัวท่านเอง ซึ่งท่านได้รับจากพระเยซูคริสต์
อย่าตัดทอนพลังและแรงบันดาลใจของบรรดาเยาวชน
ทัศนคติของเปาโลก่อนพบพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับพวกเรา ลูก ๆ เยาวชนที่รัก! พลังและความกระตือรือร้นเติบโตพองขึ้นเพียงใดในหัวใจของเธอ แต่ความมืดรอบข้างและเภายในสามารถกีดกั้นมิให้เธอเห็นสิ่งต่างๆ ได้อย่างชัดเจนแบบตรงไปตรงมา เธออาจเผชิญความเสี่ยงโดยเสียเวลาไปกับการดิ้นรนต่อสู้กับสงครามที่ไร้ความหมาย และที่ใช้ความรุนแรง น่าเสียใจจริงๆ ผู้เคราะห์ร้ายคนแรกจะเป็นตัวเธอเองและคนที่ใกล้ชิดกับเธอ นอกนั้นยังมีอันตรายในการต่อสู้กับที่เริ่มต้นด้วยการยึดมั่นในคุณค่าที่ชอบธรรม แต่เมื่อใดที่ถึงจุดสุดโต่งนั่นก็จะกลายเป็นอุดมการณ์ที่กลายเป็นการทำลายทันที ทุกวันนี้มีเยาวชนจำนวนมากที่ได้รับแรงบันดาลใจหรือถูกผลักดันด้วยความเชื่อในเรื่องของการเมืองหรือศาสนา และแล้วลงเอยด้วยการเป็นเครื่องมือของการใช้ความรุนแรง และการทำลายชีวิตของผู้คนมากมาย บางคนที่เก่งในเรื่องของโลกดิจิตอลต่างพากันหันไปใช้เครือข่ายเหล่านี้ในการทำสงครามรูปแบบใหม่ ขาดมโนธรรมในการใช้อาวุธเทคโนโลยีเพื่อขยายยาพิษโดยการแพร่ข่าวเท็จเพื่อบดขยี้อริศัตรู
เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จเข้าสู่ชีวิตของเปาโล พระองค์มิได้กดบีบบุคลิกภาพ และความร้อนรนของเปาโล ตรงกันข้ามพระองค์ทรงนำพระพรเหล่านั้นเป็นดอกไม้ที่กลับบานสะพรั่งเต็มที่โดยการทำให้ท่านเป็นผู้นำสาส์นแห่งพระวรสารไปจนสุดมุมโลก
อัครธรรมทูตแห่งนานาชาติ
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาเปาโลมักจะถูกขนานนามว่า “อัครธรรมทูตแห่งนานาชาติ” เปาโลที่เคยเป็นฟาริสีมาก่อน และเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัด ณ จุดนี้พวกเราเห็นเรื่องที่กลับตาละปัดอีกประการหนึ่ง พระเยซูคริสต์ทรงไว้วางใจในผู้ที่เคยเบียดเบียนพระองค์ เช่นเดียวกับเปาโล พวกเราแต่ละคนอาจได้ยินเสียงในหัวใจที่กล่าวกับพวกเราว่า “เราไว้ใจในตัวเธอ เรารู้เรื่องราวของเธอและเราเห็นด้วยกันกับเธอ แม้บ่อยครั้งเธอจะเป็นอริขัดแย้งกับเราก็ตาม เราก็ยังเลือกเธอและทำให้เธอเป็นประจักษ์พยานของเรา” วิธีคิดของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้เบียดเบียนที่ร้ายกาจที่สุดให้เป็นประจักษ์พยานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ย่อมได้
ศิษย์ของพระเยซูคริสต์ถูกเรียกร้องให้ต้องเป็น “แสงสว่างของโลก” (มธ. 5: 14) บัดนี้เปาโลต้องเป็นประจักษ์พยานในสิ่งที่ท่านเห็น ในขณะนี้ท่านเป็นคนตาบอด เป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันในตัวเองอีกประการหนึ่ง! แต่โดยอาศัยบารมีแห่งประสบการณ์ส่วนตัวของท่าน เปาโลสามารถทำตนเข้ากันได้อย่างดีกับคนเหล่านั้นที่พระเยซูคริสต์จะส่งท่านไปทำงานด้วยกัน นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านเป็นประจักษ์พยานชีวิตจริง “เพื่อท่านจะเปิดตาของพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้หันจากความมืดไปสู่ความสว่าง” (กจ. 26: 18)
“จงลุกขึ้นยืนเถิด แล้วเป็นประจักษ์พยาน!”
เมื่อพวกเราได้รับชีวิตใหม่ในศีลล้างบาป พระเยซูคริสต์ทรงประทานพันธกิจที่สำคัญและที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้กับพวกเรา: “เธอจะต้องเป็นประจักษ์พยานของเรา!” ในพระนามของพระเยซูคริสต์ พ่อจึงขอร้องเธอว่า
วันนี้พระเยซูคริสต์กล่าวกับเธอด้วยคำพูดเดียวกันกับที่พระองค์ตรัสกับเปาโล กล่าวคือ จงลุกขึ้นเถิด อย่าสิ้นหวังและจมปลักอยู่กับตัวเอง พันธกิจกำลังรอเธออยู่ เธอก็สามารถเช่นเดียวกันที่จะเป็นประจักษ์พยานในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงเริ่มต้นไว้เพื่อที่จะให้สิ่งต่าง ๆ สำเร็จไปในชีวิตของเธอ ในพระนามพระเยซูคริสต์ พ่อปรารถนาที่จะขอร้องพวกลูก คือ…
– จงลุกขึ้น! จงเป็นประจักษ์พยานว่าเธอก็เคยตาบอดเช่นเดียวกัน และได้พบกับแสงสว่าง เธอก็เช่นเดียวกันที่ได้เห็นความดีของพระเจ้าและความสวยงามในตัวเธอ ในผู้อื่น ในความเป็นหนึ่งเดียวกันของพระศาสนจักร ณ ที่ซึ่งความเปล่าเปลี่ยวทุกอย่างถูกทำลายหมดไป
– จงลุกขึ้น! จงเป็นประจักษ์พยานต่อความรักและความเคารพ เป็นไปได้ที่จะปลูกฝังความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ ในชีวิตครอบครัว ในการเสวนาระหว่างบิดามารดา และลูกๆ ระหว่างเยาวชนและผู้สูงอายุ
– จงลุกขึ้น! จงดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมในสังคม ความจริง ศักดิ์ศรี และสิทธิมนุษยชน จงปกป้องคุ้มครองผู้ที่ถูกเบียดเบียน คนยากจน และคนที่มีความเปราะบาง ผู้ที่ไม่มีปากมีเสียงในสังคม ผู้อพยพ ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน
– จงลุกขึ้น! จงเป็นประจักษ์พยานต่อหนทางใหม่ที่ทำให้เธอสามารถมองสิ่งสร้างด้วยสายตาที่กระพริบด้วยความพิศวงที่ทำให้เธอเห็นโลกว่าเป็นบ้านส่วนรวมของพวกเรา คือผืนแผ่นดินโลกและประทานความกล้าหาญให้เธอส่งเสริมระบบนิเวศที่เป็นองค์รวมแบบยั่งยืน
– จงลุกขึ้น! จงเป็นประจักษ์พยานว่าชีวิตที่ล้มเหลวอาจสร้างขึ้นใหม่ได้ บุคคลที่ตายฝ่ายจิตสามารถลุกขึ้นมาใหม่ได้ คนที่ถูกจองจำสามารถที่จะเป็นไท หัวใจที่เปี่ยมด้วยความทุกข์เศร้าสามารถที่จะพบกับความหวังได้
– จงลุกขึ้น! จงเป็นประจักษ์พยานด้วยความชื่นชมยินดีที่พระเยซูคริสต์ยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ จงเผยแพร่สาส์นแห่งความรัก และความรอดในผู้คนร่วมสมัยของเธอ ที่โรงเรียน ที่มหาวิทยาลัย ที่ทำงาน ในโลกดิจิตอล ทุกหนทุกแห่ง
พระเยซูคริสต์ พระศาสนจักร และพระสันตะปาปาไว้วางใจเธอ และแต่งตั้งให้เธอเป็นประจักษ์พยานต่อเยาวชนทุกคนที่เธอจะพบในเส้นทางของวันนี้ที่มุ่งสู่ “ดามัสกัส” จงอย่าได้ลืมว่า “ใครที่มีประสบการณ์ที่แท้จริงกับความรักที่ไถ่กู้ของพระเจ้าจะไม่เสียเวลาหรือต้องผ่านการอบรมอย่างยืดยาวเพื่อที่จะออกไปประกาศความรักดังกล่าว คริสตชนทุกคนเป็นธรรมทูตมากน้อยเท่าที่ผู้นั้นพบกับความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์” (Evangelii Gaudium, ข้อ 120)
จงลุกขึ้นแล้วเฉลิมฉลองวันเยาวชนโลกในพระศาสนจักรแต่ละภูมิภาค
พ่อขอเชื้อเชิญลูก ๆ อีกครั้งหนึ่งเยาวชนทั่วโลกให้มีส่วนร่วมในการเดินทางจาริกแสวงบุญฝ่ายจิตครั้งนี้อันจะนำไปสู่การเฉลิมฉลองวันเยาวชนโลกในปี ค.ศ. 2023 ณ กรุงลิสบอน ทว่าเหตุการณ์ครั้งต่อไปนี้จะเกิดขึ้นในแต่ละพระศาสนจักรท้องถิ่นทั่วโลกซึ่งจะตรงกับวันสมโภชพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นกษัตริย์แห่งสากลจักรวาล
พ่อหวังว่าพวกเราทุกคนสามารถมีประสบการณ์กับขั้นตอนเหล่านี้ไปตามเส้นทางแห่งการจาริกแสวงบุญและจะไม่เป็นเพียง “นักท่องเที่ยวรูปแบบทางศาสนา” ขอให้พวกเราเปิดใจกว้างยิ่งขึ้นในความมหัศจรรย์ใจของพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะส่องสว่างให้กับทางเดินของพวกเรา ขอให้พวกเราเปิดหูฟังเสียงของพระองค์โดยผ่านทางเสียงแห่งบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเราด้วย โดยวิธีนี้พวกเราจะช่วยกันและกันให้ลุกขึ้นพร้อมกัน และ ณ เวลาแห่งความสับสนวุ่นวายและเผชิญความยากลำบากในประวัติศาสตร์ยุคสมัยของพวกเรา พวกเราจะกลายเป็นประกาศกแห่งอนาคตใหม่ที่เปี่ยมด้วยความหวัง ขอพระแม่มารีย์โปรดวิงวอนเพื่อพวกเราทุกคนด้วยเทอญ
ให้ไว้ ณ กรุงโรม มหาวิหารนักบุญยอห์น ลาเตรัน วันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2021 วันสมโภชการเทิดทูนไม้กางเขน
ฟรานซิส
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บสาส์นวันเยาวชนโลกมาแบ่งปันและไตร่ตรอง)