เมื่อได้ยินการประกาศจากวาติกันเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ซีน็อดของบรรดาบิชอปจะยืดเวลาออกไป จึงรู้สึกแปลกใจ บางคนเริ่มคิดว่าสมัชชา (ซีน็อด) ทุกครั้งถือว่าเป็นสิ่งน่าเบื่อเพราะผู้เข้าประชุมต้องนั่งภายในห้องประชุมนานมากถึงเดือน ทว่าโครงการจัดซีน็อดในเรื่อง “การก้าวเดินไปด้วยกัน” (Synodality) ถ้าฟังแบบเผิน ๆ ดูเหมือนเป็นการอ้างอิงถึงแต่ตนเองอย่างเดียวเท่านั้น แต่เมื่อได้ไตร่ตรองในเชิงลึกการประกาศเริ่มซีน็อดนี้เห็นว่านี่มีความสำคัญมากอันน่าติดตามอย่างยิ่ง
ซีน็อดครั้งนี้จะใช้เวลาค่อนข้างนานและต้องใช้พลังอย่างมากสำหรับชาวคาทอลิกทั่วโลก ทุกระดับของพระศาสนจักร ทั้งระดับท้องถิ่น ทุกเขตศาสนปกครอง ระดับชาติ ระดับภาคพื้นทวีป และระดับสากล ใช้เวลาเกือบสามปี (2021-2023) ซึ่งรวมถึงคณะนักบวชชายหญิง ฆราวาส องค์กร/หน่วยงานต่าง ๆ ของท้องถิ่น ทุกเขตศาสนปกครอง (สังฆมณฑล) ต้องรวบรวมผลของการระดมความคิด และแบ่งปันกับเขตศาสนปกครองอื่น ๆ แล้วสังเคราะห์ร่วมกัน จากนั้นต้องส่งรายงานไปยังกรุงโรมเพื่อมุ่งสู่ประเด็นเดียวกันและนำเข้าสู่วาระในกำหนดการสำหรับซีน็อดสากล
เมื่อพูดถึงการลงทุนซึ่งจำเป็นเพื่อที่จะจัดซีน็อดครั้งนี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากในการไตร่ตรองถึงประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในอดีตถึงปัจจุบัน และเพราะเหตุใดพระสันตะปาปาฟรานซิสจึงให้ความสำคัญกับซีน็อดดังกล่าว
เฉกเช่นกับการกระทำหลายอย่างที่พระสัตะปาปาทรงริเริ่มมาแล้ว จากคำปราศรัยที่พระองค์สนับสนุนซีน็อด ซึ่งท้าทายให้มีการเผชิญหน้ากับสังคมพลเรือน คือบทบาทของประชาสัตบุรุษด้วย
ในโลกของชาวคาทอลิกภาคตะวันตก ซีน็อดเกิดขึ้นจากสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ตรงกันข้ามกับสภาสังคายนาของพระศาสนจักรในยุคก่อนๆ จากคำสอนของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 เน้นน้อยลงเกี่ยวกับคำสอนหรือภาคทฤษฎีของพระศาสนจักร แต่จะเน้นหนักไปทางการฟื้นฟู การอภิบาลด้วยการสร้างเสรีภาพ และเพิ่มพลังให้กับชาวคาทอลิกในการดำเนินชีวิตตามพระวรสารในโลกที่เป็นจริงของพวกเขา
การเอาใจใส่เป็นพิเศษในความสัมพันธ์ระหว่างบรรดาบิชอปกับพระสันตะปาปา โดยมองท่านเหล่านั้นว่า ต้องเป็นหมู่คณะที่มีบิชอปแห่งกรุงโรมเป็นหัวหน้า ท่านเหล่านั้นต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันในการสอนและในการดำเนินชีวิตแห่งความเชื่อในพระศาสนจักร
สภาสังคายนายังเน้นถึงความรับผิดชอบอย่างจริงจังของบรรดาฆราวาส ซึ่งเป็นสมาชิกที่เท่าเทียมกันของพระศาสนจักร ร่วมกับศาสนบริกรบาดหลวงและกับบิชอปผู้เป็นประมุข แม้ว่าแต่ละบุคคลจะมีหน้าที่ในความรับผิดชอบต่างกัน
พระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ผู้นำสถาบันซีนอดเข้ามาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพระหว่างบรรดาบิชอปกับพระสันตะปาปา คณะบิชอปที่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์จะให้การสนับสนุน ให้คำปรึกษาแนะนำ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งเอกภาพพร้อมกับแบ่งปันความรับผิดชอบระดับสากลเพื่อพระศาสนจักร
ภายใต้ผู้สืบทอดตำแหน่งจากอัครธรรมทูตเปโตร จอห์น พอลที่ 2 และเบเนดิกต์ที่ 16 ซึ่งทุ่มเทให้กับความเป็นเอกภาพแห่งความเชื่อท่ามกลางการแตกแยก พระสันตะปาปาฟรานซิสและผู้บริหารของพระองค์ทรงกระทำเช่นเดียวกันคือดูแลวาระการประชุมอย่างเข้มงวดรวมถึงกระบวนการดำเนินงานและผลอันเกิดจากซีน็อด
ในขณะที่มีการเรียกร้องถึงพระศาสนจักรต้องมีความโปร่งใส พระสันตะปาปาทั้งสองพระองค์ และฟรานซิสทรงเน้นถึงศักดิ์ศรีที่ชัดเจน และอำนาจหน้าที่ในการสอนของพระสันตะปาปา บิชอป และบาดหลวง
หลังจากที่ได้รับการเลือกตั้งขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของพระศาสนจักรคาทอลิก พระสันตะปาปาฟรานซิสเริ่มสนับสนุนเสรีภาพและความคิดริเริ่มในหมู่คริสตชนคาทอลิก ในพันธกิจต่าง ๆ พระองค์ทรงใส่พระทัยน้อยลงกับประเด็นการใช้อำนาจและคำสอนเชิงทฤษฎี แต่กลับหันความสนใจไปยังผู้ที่อยู่ตามชายขอบสังคม และผู้ที่อยู่ห่างไกล หรือผู้ที่ถูกทอดทิ้งจากพระศาสนจักร
พระพรต่าง ๆ ของพระองค์ เช่นการกระทำที่เป็นสัญลักษณ์ของการปะปนอย่างสบายๆ เรียบง่ายกับประชาชน การให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอย่างเสรี การเยี่ยมนักโทษในเรือนจำและค่ายผู้อพยพถือว่าเป็นความสำคัญยิ่งสำหรับพระองค์ พระองค์ไม่ยึดติดในอำนาจหรืออ้างอิงในอำนาจ พระองค์ทรงทำให้สถาบันซีน็อดกลายเป็นสัญลักษณ์เหมือนมงกุฎงดงามในวิสัยทัศน์ของพระองค์
พระองค์ทรงสนับสนุนผู้เข้าร่วมประชุมให้แสดงความคิดเห็นของตนออกมา ให้แสดงความเห็นที่แตกต่างอย่างเสรีโดยไม่ต้องกลัวสิ่งใดแม้การวิพากษ์วิจารณ์สันตะปาปา ให้มีการปรึกษาหารือกับประชาชน กับประชาสัตบุรุษ และให้มองตนเองว่าเป็นผู้หล่อหลอมความเข้าใจในจิตสำนึกของความเชื่อ
บรรดาสัตบุรุษต้องอยู่ในรูปแบบของการหล่อหลอมความสัมพันธ์แนบแน่นภายในพระศาสนจักรโดยทั่วไป ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงอธิบายว่า นี่คือการก้าวเดินไปด้วยกัน (Synodality)
การก้าวเดินไปด้วยกันที่สำคัญต้องเป็นทัศนคติแห่งจิตใจที่รวบรวมธรรมประเพณีของพระศาสนจักรทั้งหมด
ณ กลางหัวใจก็มีความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงประทานพระจิตให้กับสมาชิกทุกคนของพระศาสนจักร เพื่อที่ทุกคนจะได้มีพระพร และความรับผิดชอบในการมีส่วนร่วมส่งเสริมความเข้าใจในความเชื่อ และแบ่งปันพระวรสารให้กับผู้อื่น
บรรดาบิชอปพร้อมกับพระสันตะปาปาต่างก็มีความรับผิดชอบที่ชัดเจนในการสอน เนื่องจากฆราวาสเป็นผู้รับข่าวดีและนำไปจนสุดขอบแห่งความเชื่อ ซึ่งพระวรสารมีสำหรับการแบ่งปันกัน ความเข้าใจของพวกเขาจึงมีความสำคัญในการชี้นำความเชื่อให้กับผู้อื่น ศูนย์กลางแห่งพระศาสนจักรจึงย้ายที่ใหม่นั่นคือมุ่งไปยังชายขอบสังคม
วิสัยทัศน์แห่งความสัมพันธ์ในพระศาสนจักรจึงมีรากฐานในความเชื่อและชี้ให้เห็นถึงความเข้าใจของการก้าวเดินไปด้วยกันในฐานะที่เป็นกระบวนการเสวนาระหว่างกัน ซึ่งหน้าที่หลักของบรรดาบิชอป รวมถึงพระสันตะปาปา และประชากรของพระเจ้าคือการฟังการดลใจของพระจิต
ในการสนทนาของพวกเขา ทุกคนล้วนเป็นอาจารย์และเป็นผู้เรียนรู้
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสให้ความสำคัญมากเกี่ยวกับการรู้จักแยกแยะไตร่ตรอง
กระบวนการสนทนายังเป็นการกลับใจชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนจากวิสัยทัศน์เพียงเสี้ยวหนึ่งแห่งพระวรสารและสิ่งที่เกี่ยวกับพระศาสนจักรอันนำไปสู่วิสัยทัศน์ที่ล้ำลึก สมบูรณ์ และทันสมัยกว่า
บุคคลหนึ่งอาจเข้ามาในวงเสวนาอาจเหมือน “ผู้ถือหอก” เพื่อที่จะตั้งข้อเสนอบางอย่างให้เกิดการรับรู้ถึงคุณค่าในวิสัยทัศน์อื่น ๆ นั่นคือการมีความเห็นต่าง การกลับใจนี้เรียกร้องเสรีภาพภายใน
เพราะการกลับใจทุกชนิดเป็นเพียงบางส่วนและจะสะท้อนให้เห็นถึงความลำเอียงเช่นเดียวกันกับการไตร่ตรองที่มีวุฒิภาวะของผู้เข้าร่วมเสวนา พระสันตะปาปาฟรานซิสให้ความสำคัญมากเกี่ยวกับการแยกแยะไตร่ตรอง พระองค์ทรงมองจุดนี้ว่าเป็นการช่วยได้มากให้กับบรรดาบิชอปและพระสันตะปาปา
ท่านเหล่านั้นต้องรับฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจกับการสนทนาของประชาชน และของพี่น้องบิชอป ของผู้ร่วมพันธกิจบาทหลวง เพื่อที่จะประเมินข้อเสนอของตนในเจตนารมณ์ที่สอดคล้องกับพระวรสาร
การตัดสินบางสิ่งมิได้เป็นเพียงการชั่งน้ำหนักของการโต้แย้งกันด้วยเหตุผลเท่านั้น แต่ต้องมาจากมาตรการแห่งชีวิตฝ่ายจิตด้วย ตัวอย่างพระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสว่าพระองค์ไม่ได้ทำตามการตัดสินใจบางอย่างด้วยการได้รับการสนับสนุนด้วยเสียงข้างมากในซีน็อดครั้งสุดท้ายนี้ เพราะว่าพระองค์คิดว่าการสนทนาในลักษณะแยกฝ่าย หรือบางเรื่องยังไม่มีวุฒิภาวะที่เพียงพอ
การเน้นย้ำของพระสันตะปาปาฟรานซิสเกี่ยวกับเรื่องการก้าวเดินไปด้วยกัน ใช่ว่าทุกคนจะเห็นพ้องด้วย พระองค์ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากสองทิศทางที่ขัดแย้งกันทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมจัดและฝ่ายก้าวหน้าอย่างสุดโต่ง ฝ่ายหนึ่งยืนยันถึงเส้นแบ่งที่ชัดเจนที่ต้องแยกเกี่ยวกับศักดิ์ศรีและอำนาจระหว่างพระสันตะปาปากับบิชอป หรือบิชอปกับบาดหลวง หรือบาทหลวงกับประชาสัตบุรุษ ได้มีการโต้เถียงจุดใดคือเส้นแบ่งชัดเจน?
นอกนั้นยังมีการยืนยันถึงเส้นแบ่งแยกระหว่างพระศาสนจักรกับโลก และระหว่างคำสอนคาทอลิกและประสบการณ์ส่วนตัว สุดท้ายมีการมองการสนทนาเกี่ยวกับความเชื่อแบบบนลงล่าง และแบบเป็นชิ้นเป็นอันลักษณะเอกเทศไม่ใช่เป็นการไหลลื่นอย่างสม่ำเสมอ
พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงตำหนิวิสัยทัศน์แบบนี้ของพระศาสนจักรว่าเป็นลักษณะ “บรรพชิตนิยมหรือสมณนิยม” ซึ่งทำให้พระศาสนจักรสาละวนอยู่เพียงแค่เรื่องราวกับตนเอง และระงับการลื่นไหลระหว่างการไตร่ตรองที่มีการแบ่งปันกัน การปรึกษาหารือ และการไตร่ตรองแยกแยะที่ให้พลังแห่งการประกาศพระวรสาร
การเข้าใจในประเด็นของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสที่ได้รับการชื่นชมเรื่องการก้าวเดินไปด้วยกัน กระนั้นก็ยังได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากการปล่อยให้มีการสนทนากันอย่างเสรี และเปิดใจกว้างให้กับผู้ที่เข้าร่วมประชุม โดยตัดสินกระบวนการด้วยมาตรการที่ได้มาจากกระบวนการแบบรัฐสภาประชาธิปไตยร่วมสมัย
บางท่านคิดว่าในการปกครองของพระศาสนจักร ผู้มีส่วนร่วมควรเป็นผู้แทนหน่วยเลือกตั้งต่างๆ มีตำแหน่งในพรรคการเมือง และลงคะแนนเสียง ซึ่งถือเสียงส่วนใหญ่เป็นเกณฑ์ ทว่าในความเข้าใจของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเรื่องการก้าวเดินไปด้วยกันวิสัยทัศน์นี้น่าจะไม่ลืมการชี้นำและผลักดันของพระจิต ซึ่งเป็นธรรมประเพณีและยึดการไตร่ตรองเป็นศูนย์กลาง
พระสันตะปาปาฟรานซิสยังให้เหตุผลว่าบุคคลที่มีความคิดที่ไม่เห็นด้วยกับการปกครองดังกล่าวโดยยึดเสียงของพระจิต แต่หันไปหาพรรคพวกในโลกร่วมสมัย และแต่ละคนต่างก็วิ่งเข้าชนจุดบอด นี่จะทำให้การก้าวเดินไปด้วยกันประสบกับความยากลำบากยิ่งขึ้นในซีน็อด
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทความที่น่าสนใจมาแบ่งปันและไตร่ตรองร่วมกัน)
Cr. Andrew Hamilton | Australia