วันพฤหัสบดี, 7 พฤศจิกายน 2567
  

บทเทศน์ วันฉลองการถวายองค์พระกุมารในพระวิหาร วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2021

        นักบุญลูกาบอกพวกเราว่าผู้อาวุโสซีเมออน “รอคอยความรอดของชนชาติอิสราเอล” (ลก. 2:25) ท่านเดินไปยังพระวิหารเมื่อมารีย์และยอแซฟนำพระกุมารไปที่นั่น ท่านยื่นมือไปอุ้มพระกุมาร บุคคลที่ทราบว่าพระกุมารเป็นแสงสว่างที่ฉายรัศมีไปยังคนต่างศาสนานั่นคือชายชราคนหนึ่งที่เฝ้ารอคอยด้วยความอดทนจนเห็นความสำเร็จที่กำลังลุล่วงไปตามคำสัญญาของพระเจ้า

        ความอดทนของซีเมออน: ขอให้พวกเรามาพิจารณากันสักหน่อยถึงความอดทนของชายชราผู้นี้ เขาเฝ้ารอคอยจนตลอดชีวิตพร้อมกับฝึกจิตใจให้อดทนมาตลอด ในการอธิษฐานภาวนาซีเมออนเรียนรู้ว่าพระเจ้าจะไม่เสด็จมาด้วยเหตุการณ์พิเศษ แต่จะทรงปฏิบัติตามเหตุการณ์ปกติธรรมดาแห่งชีวิตประจำวัน ซึ่งมักจะเป็นการทำหน้าที่ซ้ำๆ ซากๆ ในชีวิตประจำวันที่อาจจะน่าเบื่อในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งเมื่อกระทำไปอย่างต่อเนื่องแบบเสมอต้นเสมอปลายด้วยความมั่นคงและสุภาพ พวกเราก็ได้ใช้ความพยายามของพวกเราที่จะปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระองค์ อาศัยการกระทำที่ยืนหยัดอดทนซีเมออนไม่รู้สึกเบื่อหน่ายกับเวลาอันยาวนานที่ผ่านไป บัดนี้แม้ว่าเขาเป็นคนชราแล้ว ทว่าไฟในหัวใจของเขายังลุกโชติช่วง ในชีวิตอันยืดยาวของเขาแน่นอนว่ามีบางเวลาที่หัวใจของเขาต้องเจ็บปวด ผิดหวัง แต่เขาก็ไม่เสียความหวัง เขาไว้ใจในพันธสัญญา เขาจึงไม่ปล่อยตนให้ต้องเสียใจสำหรับเวลาที่ผ่านไปหรือรู้สึกสิ้นหวัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในขณะที่ชีวิตของบุคคลหนึ่งกำลังเข้าใกล้บั้นปลายชีวิต ความหวังและการรอคอยของเขาแสดงออกด้วยการอดทนในชีวิตประจำวันของผู้ซึ่งไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นก็เฝ้าระวังระไวอยู่เสมอ จนกระทั่งในที่สุด “ดวงตาของเขาก็ได้พบกับความรอด” ที่เขาได้รับสัญญา (เทียบ ลก. 2: 30)

        พ่อเองก็ถามตนเองว่าซีเมออนเรียนรู้ความอดทนนั้นจากไหน? ที่แน่นอนคือเกิดจากการอธิษฐานภาวนาและจากประวัติศาสตร์แห่งประชากรร่วมชาติของเขา ซึ่งมองเห็นพระเจ้าเสมอว่า “พระองค์ทรงมีพระเมตตากรุณา ไม่ทรงโกรธง่าย  เปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและซื่อสัตย์” (อพย. 34: 6) เขาทราบดีว่าแม้พระองค์จะถูกปฏิเสธและถูกทรยศพระองค์ก็ไม่ถือสาอะไร แต่ยังคง “อดทนเป็นเวลาหลายปี” (เทียบ นหม. 9: 30) ทรงรอคอยเสมอที่จะให้พวกเขากลับใจ

        ความอดทนของซีเมออนจึงเป็นกระจกเงาแห่งความอดทนของพระเจ้าเอง จากการอธิษฐานภาวนาและประวัติศาสตร์แห่งประชากรร่วมชาติของเขา ซีเมออนเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงอดทนอย่างแท้จริง เพราะความอดทนดังกล่าวนักบุญเปาโลกบอกพวกเราว่าพระองค์ทรง “นำพวกเราไปสู่ความเป็นทุกข์เสียใจในบาป” (รม. 2: 4) พ่อชอบคิดถึงนักปรัชญาชื่อโรมาโน กวาดีนี (Romano Guardini) ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งให้ข้อสังเกตว่า ความอดทนเป็นวิถีของพระเจ้าในการตอบสนองต่อความอ่อนแอของพวกเรา และให้โอกาสเพื่อที่พวกเราจะเปลี่ยนใจ (เทียบ Glaubenserkenntnis, Wurzburg, 1949, 28)  พระเยซูคริสต์ พระผู้ไถ่ยิ่งกว่าผู้ใดที่ซีเมออนอุ้มไว้ในอ้อมอกแสดงให้พวกเราเห็นถึงความอดทนของพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงเมตตาซึ่งเรียกหาพวกเราอยู่เสมอจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายของพวกเรา พระเจ้าผู้ทรงไม่ได้เรียกร้องความครบครัน แต่เรียกร้องความกระตือรือร้นอย่างจริงใจ ผู้ซึ่งเปิดหนทางแห่งความเป็นไปได้ใหม่ให้พวกเรา  เมื่อทุกสิ่งดูจะสิ้นหวัง ผู้ทรงเปิดเยื่อใยในดวงใจที่แข็งกระด้างของพวกเรา  ผู้ที่ทรงปล่อยให้เมล็ดพันธุ์เจริญเติบโตโดยไม่ถอนหญ้าทิ้ง  นี่เป็นเหตุผลแห่งความหวังของพวกเรา กล่าวคือ พระเจ้าไม่เคยเบื่อหน่ายที่จะอดทนรอคอยพวกเรา เมื่อพวกเราทอดทิ้งพระองค์ไป พระองค์จะตามหาพวกเรา เมื่อพวกเราล้มลง พระองค์จะพยุงให้พวกเราลุกขึ้นยืน เมื่อพวกเราหวนกลับไปหาพระองค์หลังจากที่พวกเราหลงทาง พระองค์ทรงรอคอยพวกเราด้วยพระหัตถ์เปิดกว้าง ความรักของพระองค์ไม่ได้ชั่งตวงด้วยการคำนวณแบบมนุษย์ แต่จะทรงเปิดโอกาสให้พวกเราได้เริ่มต้นใหม่เสมอ นี่พระองค์ทรงสอนพวกเราถึงความยืดหยุ่น แต่พวกเราต้องกล้าหาญที่จะเริ่มต้นใหม่หลังจากที่พวกเรากระทำผิดพลาดไป พระเจ้าทรงอดทนเสมอ

        ขอให้พวกเราไตร่ตรองถึงความอดทนของพวกเราบ้าง ให้พวกเราดูความอดทนของพระเจ้าและความอดทนของซีเมออนในขณะที่พวกเรามองดูชีวิตการถวายตัวของพวกเรา พวกเราสามารถถามตัวพวกเราเองว่ามีความอดทนใดบ้างที่เกี่ยวข้องกัน  แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่การอดทนต่อความทุกข์ยากหรือการแสดงเจตนาที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางความยากลำบาก ความอดทนไม่ใช่เครื่องหมายแห่งความอ่อนแอ แต่เป็นพลังจิตที่เข้มแข็งที่ทำให้พวกเราสามารถ “แบกภาระ” ที่จะอดทน ที่จะรับน้ำหนักของปัญหาทั้งของส่วนตัวและของชุมชน ที่จะยอมรับผู้อื่นซึ่งแตกต่างจากพวกเรา ที่จะยืนหยัดในการกระทำความดีเมื่อทุกสิ่งดูทีท่าจะสิ้นหวัง และที่จะก้าวหน้าต่อไปเมื่อรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและชีวิตที่จืดชืดก็ตาม

        พ่อขอยกตัวอย่างในบริบทสามอย่างด้วยกัน ซึ่งพวกเราสามารถที่จะทำให้ความอดทนกลายเป็นรูปธรรมได้

        ประการแรกคือชีวิตส่วนตัวของพวกเรา ซึ่งมักจะมีเวลาที่พวกเราตอบสนองต่อการเรียกของพระเจ้าด้วยความกระตือรือร้น และด้วยใจกว้างพร้อมที่จะอุทิศชีวิตให้กับพระองค์ ในการเดินทางแห่งชีวิตพวกเรามีทั้งความบรรเทาใจและความผิดหวัง บางครั้งงานที่พวกเราทุ่มเทอย่างหนักไม่บรรลุผลตามที่พวกเราต้องการ เมล็ดพันธุ์ที่พวกเราหว่านดูเหมือนจะบังเกิดผลน้อยเกินไป ความร้อนรนในการอธิษฐานภาวนาของพวกเราเกิดความจืดชืด และพวกเราก็หนีไม่พ้นกับความเหี่ยวแห้งในชีวิตฝ่ายจิต ชีวิตของพวกเราในฐานะที่เป็นชีวิตแห่งการถวายตัวอาจเกิดขึ้นได้ว่าความหวังของพวกเราค่อยๆ จืดจางไปเนื่องจากไม่ประสบกับความสำเร็จตามที่คาดหวัง พวกเราต้องอดทนกับตัวพวกเราเองและรอคอยความหวังไปตามเวลาและสถานที่ของพระเจ้าเพราะพระองค์ทรงซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของพระองค์เสมอ ขอให้จงจำไว้เสมอว่านี่จะช่วยให้พวกเรายึดมั่นในการก้าวเดินของพวกเราและฟื้นฟูความฝันของพวกเราแทนที่จะยอมแพ้ต่อความเศร้าเสียใจภายในใจและการสิ้นหวัง  ลูก ๆ และพี่น้องที่รัก ในตัวพวกเราที่เป็นผู้ถวายตัวความเศร้าภายในเป็นเสมือนหนอนที่กัดกินพวกเราจากภายใน จงหลีกให้ไกลจากความเศร้าเสียใจภายในหัวใจ

        ประการที่สอง ความอดทนจะกลายเป็นรูปธรรมได้คือชีวิตหมู่คณะ ทุกคนต่างทราบกันดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์จะราบรื่นเสมอไปก็หาไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องทำโครงการหรือพันธกิจร่วมกัน จะมีเวลาที่เกิดความขัดแย้งและไม่มีทางที่จะแก้ปัญหาโดยฉับพลันได้ และก็ไม่บังควรที่จะตัดสินใจโดยด่วนด้วย จำเป็นต้องปล่อยให้เวลาผ่านไปสักหน่อยเพื่อดำรงไว้ซึ่งสันติสุขแล้วรอคอยเวลาที่ดีกว่าเพื่อที่จะแก้ไขสถานการณ์ในความรักและความจริง  ขอให้พวกเราจงอย่าได้ลุกลี้ลุกลนด้วยอารมณ์ ในคู่มือสวดสำหรับศาสนบริกรบาดหลวงของบทอ่านในวันพรุ่งนี้มีข้อความตอนหนึ่งเกี่ยวกับการไตร่ตรองชีวิตฝ่ายจิตของดิโอโดคัสแห่งโฟติเช (Diodochus of Photice) เขากล่าวว่า “ทะเลที่สงบทำให้ชาวประมงมองถึงที่ลึกได้  ซึ่งฝูงปลาไม่อาจที่จะซ่อนตัวพ้นสายตาของเขา แต่ทะเลที่มีพายุจะทำให้น้ำทะเลมืดมนและจะถูกรบกวนด้วยลมแรง” พวกเราจะไม่สามารถที่จะไตร่ตรองแยกแยะได้เป็นอย่างดีเพื่อที่จะมองเห็นความจริงหากดวงใจของพวกเราวุ่นวายและไม่รู้จักอดทน จงอย่าได้ทำเช่นนี้เลย  ชุมชนของพวกเราต้องการความอดทนประเภทนี้ต่อกันและกัน นั่นคือความสามารถที่จะให้การสนับสนุนกัน แบกภาระของบรรดาพี่น้องชายหญิงไว้บนบ่าของพวกเรารวมทั้งความอ่อนแอและความผิดพลาดของพวกเขาด้วย ขอให้พวกเราจำว่าพระเจ้ามิได้เรียกพวกเราให้เป็นคนทำงานแบบฉายเดี่ยว พวกเรารู้กันดีว่ามีคนประเภทนี้หลายคนในพระศาสนจักร ไม่นะ… พวกเราไม่ได้ถูกเรียกให้เป็นคนทำงานแบบฉายเดี่ยว แต่ให้เป็นส่วนหนึ่งแห่งวงนักขับร้องที่บางครั้งอ่านตัวโน๊ตผิดคีย์ไปตัวสองตัว แต่ก็ต้องพยายามขับร้องให้สมานฉันกัน

        สุดท้าย ประการที่สามเป็นความสัมพันธ์ของพวกเรากับชาวโลก  ซีเมออนและนางฮันนาชื่นชมในความหวังที่ประกาศโดยบรรดาประกาศก แม้ว่าจะสำเร็จช้าและค่อย ๆ เจริญขึ้นในความเงียบท่ามกลางความไม่ซื่อสัตย์และหายนะของโลก เขาไม่เคยบ่นว่าถึงความเลวร้ายต่างๆ ในโลก แต่เฝ้ารอคอยด้วยความอดทนต่อแสงสว่างที่เปล่งรัศมีออกมาจากความมืดแห่งประวัติศาสตร์ เพื่อที่จะรอคอยด้วยความอดทนต่อแสงสว่างที่ฉายออกมาท่ามกลางความมืดมนแห่งประวัติศาสตร์ เพื่อรอคอยด้วยความอดทนต่อแสงสว่างที่ฉายแสงอยู่ในความมืดแห่งชุมชนของพวกเรา  พวกเราก็จำเป็นต้องมีความอดทนแบบนี้เช่นเดียวกันเพื่อที่พวกเราจะไม่ไปติดกับดักแห่งการบ่น บางคนเป็นนักบ่น เป็นบันฑิตแห่งการบ่น พวกเขาบ่นกันเก่งมาก ไม่นะ.. เพราะการบ่นจะทำให้พวกเราเป็นเหมือนคนติดคุก “โลกจะไม่ฟังพวกเราอีกต่อไป” พวกเรามักจะได้ยินคำพูดเช่นนี้บ่อยครั้ง หรือไม่ก็ “พวกเราไม่มีกระแสเรียกต่อไปอีกแล้ว ดังนั้นพวกเราต้องปิดบ้าน” หรือ “นี่ไม่ใช่เวลาที่จะทำอะไรได้ง่ายๆ” –  “อย่าพูดกับพ่อเช่นนั้นนะ…”  และการบ่นก็เริ่มขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นแม้กระทั่งพระเจ้าทรงพรวนดินแห่งประวัติศาสตร์และดวงใจของพวกเราด้วยความอดทน พวกเราก็ยังแสดงตนเป็นคนที่ไม่รู้จักอดทนและอยากที่จะตัดสินอะไรอย่างรวดเร็ว ต้องตัดสินใจเดี๋ยวนี้หรือไม่ก็ไม่ต้องพูดอะไรกันอีกต่อไป ด้วยการกระทำเช่นนี้พวกเราจะสูญเสียฤทธิ์กุศล “เล็กๆ” แต่สวยงามนั้นไป นั่นคือความหวัง พ่อเห็นผู้ถวายตัวทั้งชายหญิงที่สิ้นหวังเพียงเพราะไม่รู้จักอดทน ช่างน่าเศร้าจริง ๆ

        ความอดทนช่วยให้พวกเรามีเมตตาในทำนองที่พวกเรามีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับตัวเราเอง ชุมชนของพวกเรา และโลกของพวกเรา ในชีวิตของพวกเรา พวกเราให้การต้อนรับกับความอดทนของพระจิตหรือไม่?  ในชุมชนของพวกเรา พวกเราอดทนซึ่งกันและกันและเปล่งความชื่นชมยินดีแห่งชีวิตของความเป็นพี่น้องกันหรือไม่?  ในโลกของพวกเรา พวกเรามอบการรับใช้ด้วยความอดทนหรือตัดสินด้วยความโหดเหี้ยม?  สิ่งเหล่านี้เป็นการท้าทายที่แท้จริงสำหรับชีวิตการถวายตัวของพวกเรา พวกเราต้องไม่ค้างอยู่กับการฝันร้ายในอดีตหรือย้ำแต่เรื่องเก่าๆ หรือบ่นทุกวัน พวกเราต้องอดทนและมีความกล้าหาญเพื่อที่จะได้สามารถก้าวหน้าต่อไป สำรวจหนทางใหม่และตอบสนองต่อการดลใจของพระจิต แล้วก็กระทำทุกสิ่งด้วยความสุภาพเรียบง่ายโดยมิต้องคุยใหญ่คุยโต

        ขอร้องให้พวกเราเพ่งพิศถึงความอดทนของพระเจ้าพร้อมกับวิงวอนขอความอดทนที่ไว้วางใจของซีเมออนและฮันนา ขอให้สายตาของพวกเรามองเห็นแสงสว่างแห่งความรอดและนำแสงสว่างนั้นไปสู่โลกเฉกเช่นผู้ชราสองท่านดังกล่าว ซึ่งกระทำในการอธิษฐานแห่งการสรรเสริญแด่พระเจ้าด้วยเทอญ

หลังพิธีบูชาขอบพระคุณพระสันตะปาปาทรงประกาศเรื่องต่อไปนี้

        พ่อต้องขอบใจพระคาร์ดินัลสำหรับมธุรสวาจาของท่านที่กล่าวในนามของพวกเราทุกคน ขอบใจผู้ร่วมพิธีและผู้ช่วยทุกคน วันนี้ผู้เข้าร่วมพิธีมีไม่มาก โรคระบาดทำให้พวกเราต้องเป็นเช่นนี้ แต่ขอให้พวกเราอดทน พวกเราต้องอดทน และพวกเราต้องมอบชีวิตของพวกเราแด่พระเจ้าต่อไป

        หญิงสาวคนนั้นที่เพิ่งจะเป็นนวกเณรีมีความสุข… เธอได้พบกับซิสเตอร์อาวุโสผู้หนึ่งซึ่งเป็น คนดีและศักดิ์สิทธิ์ “เธอเป็นอย่างไรบ้าง” “คุณแม่คะ นี่ช่างเป็นสวรรค์บนแผ่นดิน” นวกเณรีกล่าว “รออีกหน่อย ยังมีไฟชำระด้วย” ชีวิตผู้ถวายตัว ชีวิตหมู่คณะล้วนแล้วแต่มีไฟชำระกันทั้งนั้น แต่ขอให้อดทนพยายามกันต่อป็

        พ่อใคร่ที่จะชี้ให้เห็นสองสิ่งด้วยกันที่สามารถช่วยพวกเราได้ กล่าวคือ โปรดหนีไปให้ไกลจากการซุบซิบนินทา การนินทาจะเป็นการฆ่าชีวิตหมู่คณะ อย่ากล่าวร้ายถึงผู้อื่น “สันตะบิดรคะ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ เพราะบางครั้งสิ่งต่าง ๆ ออกมาจากใจ” ใช่ สิ่งนั้นออกมาจากใจ แต่ว่าออกมาจากการอิจฉาริษยา  ออกมาจากบาปต้นเจ็ดประการที่พวกเรามีอยู่ภายใน “แต่สันตะบิดรคะ ช่วยบอกลูกหน่อยว่ามียารักษาไหมคะ?”  “มีสิ มียารักษาและเป็นยาพื้นบ้านด้วย นั่นคือจงกัดลิ้นตัวเอง ก่อนที่กล่าวร้ายผู้อื่น กัดลิ้นตัวเองเสียก่อน ลิ้นของลูกจะได้บวมจนคับปากแล้วลูกจะไม่สามารถพูดได้ โปรดหนีไปให้ไกลจากการซุบซิบนินทาเพราะว่านั่นแหละจะทำลายชีวิตหมู่คณะ”

        แล้วอีกอย่างหนึ่งที่พ่ออยากจะแนะนำคือชีวิตหมู่คณะ จะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นอธิการ ที่ปรึกษา คนนี้หรือคนนั้น… พวกเรามักจะมีบางสิ่งที่ไม่ถูกใจพวกเราเสมอ ใช่ไหม? โปรดอย่าเสียอารมณ์ นี่จะช่วยพวกเราได้มาก นี่เป็นยาแก้โรคซุบซิบนินทา จงรู้ว่าจะหัวเราะเยาะตนเองอย่างไร หัวเราะกับสถานการณ์ต่าง ๆ แม้กระทั่งหัวเราะกับผู้อื่น แต่อย่าเสียอารมณ์แห่งความขบขัน แล้วจงหนีไปให้พ้นจากการซุบซิบนินทา สิ่งที่พ่อแนะนำนี้ไม่ใช่เป็นรูปแบบของการให้คำแนะนำแบบนักบวช แต่เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่พวกเราต้องมีความอดทน จงอย่าได้พูดร้ายถึงผู้อื่นเป็นอันขาด กัดลิ้นของลูกเอง แล้วจงอย่าเสียอารมณ์แห่งความขบขัน นี่จะช่วยลูกได้มาก

        ขอบคุณสำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่ลูกทำ ขอบคุณสำหรับการเป็นประจักษ์พยานของพวกลูก ขอบคุณมากสำหรับความยากลำบากของพวกลูก สำหรับการที่พวกลูกต้องอดทนอย่างไร และสำหรับความเจ็บปวดเมื่อกระแสเรียกไม่มาสักที จงสู้ต่อไป อย่าหมดกำลังใจ พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ พระเจ้าทรงรักพวกเรา ขอให้พวกเราติดตามพระองค์ไป

(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บบทเทศน์และคำปราศรัยของพระสันตะปาปามาแบ่งปันและไตร่ตรอง)