
พระคาร์ดินัลมารีโอ เกรซ (Mario Grech) เลขาธิการแห่งสำนักเลขาธิการซีนอด กรุงโรม ได้แบ่งปันสาส์นแห่งความหวังและสนับสนุนผู้นำพระศาสนจักรท้องถิ่น กลุ่มชุมชนความเชื่อ และเครือข่ายพระศาสนจักรท้องถิ่นภูมิภาคโอเชียนนาและทวีปเอเชียในกระบวนการก้าวเดินไปด้วยกันของพระศาสนจักรสากล
เนื่องจากภูมิภาคเอเชียและโอเซียนนาเผชิญกับวิกฤตหลายประการโดยเฉพาะในความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและวัฒนธรรม ซึ่งมนุษย์เราต้องดำเนินชีวิตอยู่กับธรรมชาติสิ่งแวดล้อมและมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ สาส์นของพระคาร์ดินัลเกรซ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยกระบวนการในการก้าวเดินไปด้วยกัน โดยการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการฟังและการไตร่ตรองกับสมาชิกทุกคนซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้าโดยไม่ยกเว้นผู้ใดเพื่อที่จะไตร่ตรองการเอาใจใส่ดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อประชากรของพระเจ้า ระบบนิเวศ ทั้งทะเล และป่าไม้ ในขณะที่พระศาสนจักรกำลังเดินทางพร้อม ๆ กัน

เจริญพรมายังพี่น้องที่เคารพรัก ขอสันติสุขในพระเจ้าประทับอยู่กับท่านทุกคน
ข้าพเจ้ารู้สึกจากห้วงลึกของหัวใจและขอกล่าวด้วยความจริงใจว่าข้าพเจ้ากำลังเสวนากับชุมชนแห่งความเชื่อที่กำลังเดินทางชีวิตฝ่ายจิตร่วมกันอยู่แล้ว สิ่งที่ข้าพเจ้าประสงค์ที่จะแบ่งปันกับพวกท่านก็เพียงเพื่อที่จะยืนยันว่าไม่เพียงแค่ความเชื่อของท่านเท่านั้น ทว่าต้องเป็นวิธีการปฏิบัติด้วยที่ท่านต้องนำมาใช้ในพระศาสนจักร
ดังที่ท่านทราบ พระสันตะปาปาฟรานซิสได้ทรงเปิดการประชุมซีนอดสำหรับพระศาสนจักรในภาครวมทั้งมวลพร้อมกับแจ้งจุดประสงค์ของซีนอด หรือหัวข้อที่พวกเราจะต้องพิจารณา ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำหรับชีวิตและพันธกิจของพระศาสนจักรที่ก้าวเดินไปด้วยกัน: ในความเป็นเอกภาพ การมีส่วนร่วม และการทำพันธกิจ
ในอดีตการประชุมซีนอดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงสามหรือสี่สัปดาห์ในลักษณะที่เป็นการประชุมของบรรดาบิชอปในกรุงโรม แต่บัดนี้การประชุมซีนอดได้กลายเป็นกระบวนการรับฟัง ซึ่งแบ่งออกเป็นสองภาคอย่างชัดเจน กล่าวคือ การปรึกษาหารือ หรือดังที่ข้าพเจ้าชอบที่จะเรียกว่าเป็นขั้นแรกการการไตร่ตรองกับประชากรของพระเจ้าในระดับพระศาสนจักรท้องถิ่นและกลุ่มผู้อภิบาลที่ต้องไตร่ตรองเป็นพิเศษ ขั้นตอนแรกคือระดับเขตศาสนปกครอง (สังฆมณฑล) และก็ระดับสภาบิชอปฯ จากนั้นก้าวสู่ระดับทวีปซึ่งจะเป็นวาระใหม่ในกระบวนการของซีนอด และขั้นตอนสุดท้ายจะเป็นระดับพระศาสนจักรสากล ซึ่งเป็นการประชุมซีนอดของบรรดาบิชอป ณ กรุงโรม
อันที่จริง พระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสว่า “การประชุมของบรรดาบิชอปเป็นจุดที่จะทำให้สิ่งต่างๆ โน้มเข้าหากันของกระบวนการรับฟังที่จะต้องกระทำในทุกระดับแห่งชีวิตของพระศาสนจักร” หากปราศจากการปรึกษาหารือกันอย่างแท้จริงกับประชากรของพระเจ้าก็จะไม่เกิดกระบวนของการประชุมซีนอด ดังนั้นความสำเร็จของกระบวนการซีนอดจึงขึ้นอยู่กับขั้นตอนแรก นั่นคือการปรึกษาหารือกันอย่างจริงจังด้วยความรับผิดชอบอย่างสูงกับประชากรของพระเจ้า
การไตร่ตรองของผู้อภิบาลจะไปบรรจบที่การประชุมซีนอดใหญ่ของบรรดาบิชอปที่จะกระทำที่กรุงโรมในปี ค.ศ. 2023 ซึ่งจะรวบรวมผลพวงที่มาจากการไตร่ตรองของสภาบิชอปฯ จากการไตร่ตรองในระดับชาติ จากระดับภาคพื้นทวีป รวมทั้งผลของการไตร่ตรองที่มาจากสภาซีนอดของบรรดาพระอัยกาแห่งพระศาสนจักรจารีตตะวันออก
พระสันตะปาปาฟรานซิสเน้นว่าโดยธรรมนูญแล้วพระศาสนจักรจะต้องเป็นกระบวนการซีนอดหรือเป็นการก้าวเดินไปด้วยกัน ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้นพวกเราก็ไม่เป็นพระศาสนจักร หรือพวกเราล้มเหลว สิ่งสำคัญที่ตั้งอยู่ต่อหน้าพวกเราคือความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างประชากรของพระเจ้า คณะบิชอป และบิชอปแห่งกรุงโรม (พระสันตะปาปา) ปัจจัยหลักทั้ง 3 ประการนี้มีความสำคัญมาก ความเป็นเอกภาพของพระศาสนจักรต้องมีรูปแบบเช่นนี้ ซึ่งต้องรวมทุกคนที่อยู่ในพระศาสนจักรโดยไม่มีการยกเว้นผู้ใดเลย พวกเราต้องรวมทุกคนตามสถานะภาพและหน้าที่เฉพาะของตนเอง
ความเป็นเอกภาพนี้มีอยู่ในมิติแห่งพันธกิจของพระศาสนจักรเอง นั่นคือเพื่อที่จะประกาศพระวรสาร พระศาสนจักรถูกเรียกร้องให้ต้องทำพันธกิจนี้ให้กลายเป็นความจริงในการผนึกการก้าวเดินไปด้วยกันในพระพรพิเศษที่มีอยู่ในชีวิตของพระศาสนจักร เพื่อที่จะสร้างข้อเสนอ ซี่งสอดคล้องกับการเรียกร้องแห่งการประกาศพระวรสาร และการไต่ตรองหาหนทางใหม่เพื่อที่จะนำพระวรสารไปสู่ชาวโลก
ความจริงพระศาสนจักรจำเป็นต้องเป็นธรรมทูต “ที่ต้องก้าวออกไป” ซึ่งพระสันตะปาปาฟรานซิสได้ทรงชี้แจงไว้อย่างชัดเจนสมณสาส์นเตือนใจ “ความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร” (Evangelii Gaudium) ซึ่งพระองค์ทรงอธิบายว่านี่เป็นกรอบในการแพร่ธรรมสำหรับพระศาสนจักรในทุกวันนี้ เมื่อพิจารณากันถึงความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร (Evangelii Gaudium) ในคำพูดของคริสตอป เทโอบาลด์ (Christoph Theobald) ผู้ร่างเอกสารของสภาสังคายนาวาติกันที่ 2 ข้าพเจ้าใคร่ที่จะกล่าวว่าคำเตือนนี้สามารถเป็นเอกสารที่ติดตามไปกับการปรึกษาหารือกับประชากรของพระเจ้าในทุกภาคส่วนของพระศาสนจักร
เพราะในสมณสาส์นเตือนใจความชื่นชมยินดีแห่งพระวรสาร (Evangelii Gaudium) นี่เองที่พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงลิขิตว่า “ทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปตั้งแต่คนแรกจนถึงคนสุดท้าย พระจิตทรงประทานอำนาจแห่งความศักดิ์สิทธิ์ พระองค์จะทรงผลักดันให้พวกเราต้องประกาศพระวรสาร พระเจ้าจะทรงทำให้สัตบุรุษทั้งปวงมีจิตสำนึกแห่งความเชื่อ ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาสามารถไตร่ตรองว่าสิ่งใดคือสิ่งที่แท้จริงจากพระเจ้า จิตสำนึกแห่งความเชื่อนี้จะมีอยู่ในทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาป”
ณ จุดนี้ ข้าพเจ้าคิดว่าพวกเรามีกุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้พวกเราสามารถประเมินและคิดกันใหม่ถึงพลวัตที่มีอยู่ในพระศาสนจักร ซึ่งทำให้พวกเราต้องตั้งคำถามว่าเจตนารมณ์แห่งการก้าวเดินไปด้วยกันนั้นได้มีการกระทำให้เป็นชีวิตภายในที่แท้จริงหรือไม่? พวกเราอาจจะยังบกพร่องในการก้าวเดินไปด้วยกัน อาจยังขาดวิสัยทัศน์และรูปแบบแท้จริงของพระศาสนจักร อาจจะยังขาดการจิตนาการอย่างถูกต้อง และการรับรู้ว่ากระบวนการแห่งการก้าวเดินไปด้วยกันของพระศาสนจักรนั้นแท้จริงแล้วนั้นหมายถึงอะไร? เป็นเพราะบิชอป ประมุขแห่งเขตศาสนปกครองหลายท่านก็ยังกังวลอยู่ว่ากระบวนการก้าวเดินไปด้วยกันนี้จะชี้นำพระศาสนจักรได้จริงหรือไม่ และก็ไม่เพียงแค่บิชอปเท่านั้น แต่เป็นบุคคลอื่น ๆ ด้วย
ภายใต้กรอบนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าการประชุมซีนอดของพระศาสนจักรที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ข้างหน้าพวกนี้จะก้าวทันกับกาลเวลากับประสบการณ์จริงของพระศาสนจักร จะเป็น “ไครอส – Kairos” หรือ ณ เวลาอันเหมาะสม ที่จะเริ่มฟื้นฟูจักรกลที่เป็นระบบชีวิตฝ่ายจิต ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพระศาสนจักร อย่างไรก็ตามนี่เป็นการฟื้นฟูที่ได้มีการเสนอไว้แล้วในสภาสังคายนาวาติกันที่ 2
การก้าวเดินไปด้วยกันจะไม่บรรลุถึงศักยภาพเต็มเปี่ยมของกระบวนการในฐานะที่เป็นการแสดงออกถึงพันธกิจของพระศาสนจักร นอกจากว่าพวกเราจะสามารถสร้างพลัง สร้างอำนาจให้กับทุกภาคส่วนแห่งระดับของพระศาสนจักร หากการสร้างอำนาจเกี่ยวกับศักยภาพ เมื่อนั้นพระจิตก็ทรงประทานศักยภาพนั้นให้แล้ว และจะยังทรงประทานพระคุณต่อ ๆ ไป การสร้างพลังให้กับประชากรของพระเจ้าจะนำไปสู่การก้าวเดิน ซึ่งข้าพเจ้าขออ้างถึงสำนวนโดย แบรดฟอร์ด อี. ฮินซ์ “เพื่อทำให้กระบวนการในการก้าวเดินไปด้วยกันต้องปลอดออกจากกลุ่มที่มักบังคับบัญชาสั่งการแบบเบ็ดเสร็จ
ตามความเห็นของนักเขียนผู้นี้ยังมีคำพูดอยู่สามคำที่ยืนยันถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการของการก้าวเดินไปด้วยกัน ประการแรก เขาพูดถึงความจำเป็นที่ต้องมีการกระจายอำนาจของพระศาสนจักรที่ต้องมีการสานสร้างความสัมพันธ์กันขึ้นมาใหม่ของศูนย์กลางมุ่งไปสู่ชายขอบสังคม การใช้อำนาจของกรุงโรม ของพระสันตะปาปาและของโรมันคูเรียต้องเน้นในความสัมพันธ์กับพระศาสนจักรส่วนต่างๆ ประการที่สอง เขาใช้ภาพพจน์ของปิรามิดกลับหัวเพื่อหมายถึงการกลับหัวของวิธีการที่พระศาสนจักรใช้อำนาจในความสัมพันธ์กับประชากรของพระเจ้าจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนยากจนเปราะบาง และประการที่สาม เขาใช้รูปทรงหลายเหลี่ยมเพื่อที่จะเข้าใจใหม่ถึงสภาพของส่วนที่แตกต่างกันในความสัมพันธ์ในการรวมทุกสิ่งเข้าไว้ด้วยกัน ซี่งผลที่ตามมาก็คือต้องไม่มีการกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างให้มีมาตรฐานเดียวกันแห่งความเข้าใจของผลกระทบที่มาจากส่วนต่างๆ ที่มีต่อส่วนรวม
ด้วยภาพนี้พระสันตะปาปาฟรานซิสจึงมุ่งที่จะส่งเสริมการขยายวิสัยทัศน์แห่งความเป็นเอกภาพในพระศาสนจักรที่สนับสนุนให้พวกเรายอมรับ และน้อมรับการสนับสนุนจากส่วนอื่นๆ ที่แตกต่างพร้อมกับส่งเสริมวิธีการหลากหลายในมิติของวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจ ในกรอบแห่งกระบวนการด้วยการสลายการเป็นลักษณะอยู่ใต้อาณานิคม ความคิดริเริ่มแห่งการก้าวเดินไปด้วยกันของพระศาสนจักรเช่นที่พวกท่านกำลังกระทำกันอยู่นี้จะสามารถรับฟังเสียงเรียกร้องของโลก เสียงร้องของประชากรในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง และสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือต่อผู้ที่ไม่ได้รับความเท่าเทียมกัน
เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงขอแนะนำให้พวกท่านยึดมั่นในเรื่องของการเสวนา เพราะในการใช้กระบวนการก้าวเดินไปด้วยกันพวกท่านสามารถที่จะบรรลุถึงการมีอำนาจที่ถูกต้องและดีกว่าอันเป็นอำนาจของพระจิตที่ผ่านทางเสียงประชากรของพระเจ้า การสร้างอำนาจให้กับผู้อื่นเป็นความจริงเชิงเทววิทยาก่อนที่จะกลายเป็นอำนาจส่วนบุคคลหรือของสังคม ที่จริงสืบเนื่องมาจากการประทับอยู่ของพระจิตอันเป็นของขวัญสำหรับผู้ที่มีความเชื่อในพระศาสนจักร ดังนั้นการทำให้เกิดมีอำนาจแท้จริงจึงต้องเข้าใจเสมอว่าเป็นพันธกิจของพระจิตที่ประทานให้พวกเราเพื่อสร้างพระศาสนจักรและพระอาณาจักรของพระเจ้าในโลกนี้
ก่อนที่พวกเราจะไตร่ตรองว่าผู้ใดที่จะได้รับจากการมีอำนาจนี้ (บางทีอาจจะไม่ถูกต้องทางเทววิทยาอย่างสิ้นเชิงถึงสิ่งข้าพเจ้ากำลังจะพูด) พวกเราจำเป็นที่ต้องมอบอำนาจให้กับพระจิตในความหมายที่ว่าพวกเราจำเป็นต้องยอมรับถึงอำนาจของพระจิตในพระศาสนจักร ไม่ใช่ว่าการกระทำของพระจิตขึ้นอยู่กับพวกเรา แต่แน่นอนว่าพวกเราต้องให้พื้นที่มากขึ้นสำหรับพระจิตที่จะทรงหายใจและพัดพานำพวกเราไป พวกเราไม่อาจที่จะนำพระจิตกักขังไว้ในกล่องได้
ในมุมมองนี้ข้าพเจ้ากำลังจะบอกว่า พวกเราจำเป็นต้องมอบอำนาจ และต้องรับรู้ถึงพระจิต ข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่าพวกเราไม่ค่อยเชื่ออย่างจริงจังว่าพระจิตทรงประทับอยู่ในผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปทุกคน ความไม่ไว้ใจของพวกเรากับประชากรของพระเจ้าจึงอาจเดินผิดทาง เพื่อการยืนยันถึงคำพูดที่ว่า “เราแต่ละบุคคลเป็นพระวิหารของพระจิต” อาจเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่าก็ได้
หวังว่าการก้าวเดินไปด้วยกันจะสร้างพลังให้กับประชากรของพระเจ้า ประชากรของพระเจ้าทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการก้าวไปด้วยกันนี้ ความจริงการปรึกษาหารือกันในกระบวนการของขั้นตอนแรก ข้าพเจ้าใคร่ที่จะเรียกว่าเป็นการกระทำที่สร้างการก้าวเดินไปด้วยกัน สัตบุรุษทุกคนมีส่วนร่วมบางสิ่งบางอย่างในกระบวนการก้าวไปด้วยกันและมีโอกาสที่แสดงความคิดเห็นของตนเอง เราควรให้โอกาสพวกเขาที่จะแสดงตัวเขาเอง การฟังนี้เป็นการกลับใจเชิงอภิบาลที่แท้จริงของพระศาสนจักร กระบวนการตัดสินใจในพระศาสนจักรจะต้องเริ่มต้นด้วยการรับฟังเสมอ เพราะว่าด้วยวิธีนี้เท่านั้นพวกเราจึงจะสามารถเข้าใจว่าพระจิตทรงประสงค์ที่จะนำพระศาสนจักรอย่างไรและมุ่งไปทิศทางใด
พระสันตะปาปาฟรานซิสทรงยืนยันว่ากระบวนการก้าวเดินไปด้วยกันนั้นเริ่มต้นด้วยการฟังประชากรของพระเจ้า ซึ่งมีส่วนร่วมในพันธกิจของพระเยซูคริสต์ตามหลักการอันเป็นที่โปรดปรานของพระศาสนจักรในหนึ่งพันปีแรกที่ว่า “Quod omnes tangit ab omnibus approbari debet” – อะไรก็ตามที่มีผลกระทบต่อทุกคนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากทุกคน นี่ไม่ใช่เรื่องของประชาธิปไตย นี่ไม่ใช่เรื่องประชานิยม การก้าวเดินไปด้วยกันเป็นกระบวนการของการฟังต่อพระจิตผู้ทรงตรัสโดยอาศัยสมาชิกแห่งประชากรของพระเจ้า เป็นการไตร่ตรองร่วมกันถึงพระประสงค์ของพระเจ้า และของพระศาสนจักร
นักเทววิทยาอูร์แมน ทราซ (Urman Traz) ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างถูกต้องว่ามีเหตุผลสองประการที่พระสันตะปาปาฟรานซิสเชื่อว่าการฟังต่อจิตสำนึกแห่งความเชื่อในประชาสัตบุรุษ (sensus fidei fidelium) มิติแห่งความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็น ประการแรกจากมุมมองของการเรียนรู้ บิชอปจำเป็นต้องฟังประชากรของพระเจ้าเพื่อที่จะสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความน่าเชื่อถือ เพื่อที่จะทราบว่าพระเจ้าทรงมีพระประสงค์เช่นไรจากพระศาสนจักรในวันนี้ พวกเราต้องใช้หูฟังสิ่งที่ประชาชนสนใจกัน เพื่อที่เข้าใจถึงเรื่องราวของบรรดาชายหญิงในยุคสมัยของพวกเรา เพื่อที่จะซึมซาบเข้าไปในความชื่นชมยินดีและความหวังของพวกเขา ในความทุกข์และความร้อนใจของพวกเขา ถึงเวลานั้นพวกเราจะทราบว่าจะต้องเสนอข่าวดีด้วยความน่าเชื่อถืออย่างไร
ประการที่สอง พวกเราต้องฟังจิตสำนึกแห่งความเขื่อในสัตบุรุษ (sensus fidelium) เพราะว่านี่เป็น “เทววิทยาแห่งท้องที่” (locus theologicus) – เรื่องราวเทววิทยาแบบพื้น ๆ หากพวกเราต้องการที่จะพบความจริง พวกเราก็จะพบกับพระเยซูคริสต์ พบกับพระวาจาของพระเจ้า พบกับการสอนของพระศาสนจักร แต่แม้กระทั่งในฐานะที่เป็นประชากรของพระเจ้า พวกเขาเป็นนักนักเทววิทยาคนแรก ในพระดำรัสของพระสันตะปาปาฟรานซิส “เราฟังจิตสำนึกแห่งความเชื่อ – sensus fidei – เพื่อที่จะพบว่าพระเจ้าทรงต้องการอะไรจากพระศาสนจักรในขณะนี้ พวกเราไม่อาจที่จะพลาดโอกาสนี้ไปได้” พระศาสนจักรไม่ได้มีสิทธิพิเศษที่จะเข้าถึงการเสวนากับพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ขอให้พวกเราไว้ใจในประชากรของพวกเรา ในความทรงจำของพวกเขา ในเจตสำนึกถึงกลิ่นของพวกเขา ขอให้พวกเราวางใจว่าพระจิตทรงกระทำการทั้งในและกับประชากรของพวกเรา และพระองค์ก็มิใช่เป็นเพียงสมบัติของพระศาสนจักรเท่านั้น
ผู้ที่จะมีอำนาจอย่างแท้จริงในการประชุมซีนอดแห่งการก้าวเดินไปด้วยกันก็คือบิชอป เพราะพันธกิจพิเศษของท่าน ท่านเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ในพระศาสนจักร การพึ่งพาที่เป็นประโยชน์ต่อกันระหว่างจิตสำนึกแห่งความเชื่อ (sensus fidei) แห่งประชากรของพระเจ้า และการสอนของผู้เลี้ยงแกะที่ดีซึ่งในธรรมนูญ “พระวาจาของพระเจ้า – Dei Verbum” เน้นเป็นพิเศษ ซึ่งอยู่ในความใกล้ชิดระหว่างประชากรของพระเจ้าและผู้เลี้ยงแกะที่ดี ระหว่างจิตสำนึกแห่งความเชื่อในสัตบุรุษ (sensus fidei) กับคำสั่งสอนของพระศาสนจักรซึ่งก่อให้เกิดการก้าวเดินไปด้วยกันในพระศาสนจักร การก้าวเดินไปด้วยกันที่ได้รับมาจากการฟัง ความจริงแล้วการไตร่ตรองของบิชอปก็จะมาจากสิ่งที่พระจิตจะทรงตรัสกับพระศาสนจักรโดยผ่านทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาป นั่นคือ “Infallibili in credendum” (ผู้ที่จะไม่มีวันหลงผิดในความเชื่อ)
โดยอาศัยวิธีนี้ดังที่พระสันตะปาปาฟรานซิสกล่าวไว้ว่า สิ่งนี้เป็นไปได้ที่จะรื้อฟื้นหมู่คณะบิชอปให้อยู่ภายใต้พระศาสนจักรเดียวกันที่ก้าวเดินไปด้วยกัน ดังที่ข้าพเจ้าชี้ให้เห็นความสำคัญข้างต้น เมื่อบิชอปฟังจิตสำนึกแห่งความเชื่อในสัตบุรุษ (sensus fidelium) ก็จะสามารถที่จะฟังเสียงพระจิตในสิ่งที่พระจิตจะตรัสกับพระศาสนจักร และจะสามารถอยู่ในฐานะที่จะแสดงสิ่งใหม่ๆ ของพระเยซูคริสต์ในพระวรสารดังที่ปรากฏในพระวาจาของพระเจ้าซึ่งยังไม่เป็นที่เข้าใจกันดี นี่เป็นการอธิบายถึงเหตุผลที่พระสันตะปาปาฟรานซิสตรัสเกี่ยวกับหมู่คณะบิชอปที่ต้องอยู่ภายในพระศาสนจักรที่ก้าวเดินไปด้วยกัน
ความจริงการประชุมซีนอดของบรรดาบิชอปถูกวางไว้ตอนสุดท้ายแห่งกระบวนการไตร่ตรอง ตลอดระยะเวลาสองปีนั้นควรเข้าใจว่าเป็นการยืนยันถึงลัทธิบรรพชิตนิยม (Clericalism) ที่เกิดอย่างดกดื่น พวกเราต้องการที่จะรักษาดุลอำนาจของพระศาสนจักร พวกเราต้องไม่ลืมว่าสภาพระสังคายนาวาติกันที่ 2 สอนพวกเราว่าบิชอปเป็นพื้นฐานแห่งความเป็นเอกภาพในแต่ละพระศาสนจักรท้องถิ่นของตน ดังนั้นบิชอปจึงมีหน้าที่ต้องไตร่ตรองหน้าที่ของตนในพันธกิจที่พวกเขาต้องทำเพื่อความดีงามของพระศาสนจักร พลังแห่งกระบวนการอยู่ที่การพึ่งพากันระหว่างการปรึกษาหารือและการไตร่ตรอง นี่คือหลักการที่จะบังเกิดผลที่สามารถนำให้เกิดมีการพัฒนาการก้าวเดินไปด้วยกันต่อไปของพระศาสนจักร และของการประชุมซีนอดของบรรดาบิชอป
สรุป: การก้าวเดินไปด้วยกันในความเป็นเอกภาพที่พวกเราถูกเรียกร้อง แน่นอนว่าจะเป็นระเบียบตามกฎเกณฑ์ของพระศาสนจักร นี่จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพของพระศาสนจักรที่ก้าวเดินไปด้วยกันก็ต้องเป็นอิสระจากความคิดแบบปลอม ๆ ที่จะสร้างอำนาจให้กับสำนักงานหรือโครงสร้างหนึ่งใด ซึ่งหมายถึงการจงใจที่จะไปลดอำนาจของฝ่ายอื่น ๆ พระศาสนจักรต้องต่อต้านกับกลยุทธ์ของการลดอำนาจของผู้อื่นที่เป็นบ่อนทำลาย ซึ่งสามารถที่จะขโมยความสมานฉันไปได้ ความสัมพันธ์ทุกชนิดต้องได้รับพลังจากพระจิตเพื่อความเป็นเอกภาพของพระศาสนจักรเพื่อที่พวกเราจะได้ถวายพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเจ้า ขอขอบคุณ
(วิษณุ ธัญญอนันต์ – เก็บคำกล่าวของเลขาธิการซีนอดมาแบ่งปันและไตร่ตรองเพื่อการฟังเสียงพระจิต)